วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Value Indentity

Value Indentity "อัตลักษณ์เชิงคุณค่าของตัวคุณ"

  คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในโลกนี้ ต้องมีอัตลักษณ์เชิงคุณค่าที่สามารถสร้างความแตกต่างได้จากนั้นใช้ความแตกต่างนั้นสร้างความสำเร็จผ่านการเสียสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้อื่น
     เพราะความสำเร็จของคนเรานั้นเกิดจากการช่วยให้ผู้คนจำนวนมากพอให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้น ถ้าคุณต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน คุณต้องส่งมอบคุณค่าเพื่อช่วยให้ผู้อื่นได้ในสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดนั่นเอง

   จงจำไว้ว่า หัวใจของการอยู่อย่างผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้วัดว่าใครมีรายได้สูงกว่าใคร แต่วัดจากความเสียสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจสร้างชีวิตแบบพวกเราความยิ่งใหญ่ในฐานะผู้นำอยู่ตรงที่คุณเคยเสียสละอะไรบ้าง คุณเคยสร้างสรรค์อะไรที่บ่งชี้ถึงการยกมาตรฐานของทีม ขององค์กรและของแบรนด์บ้าง
คุณเคยสนับสนุนใครที่ตัดสินใจมาอยู่กับคุณด้วยความหวังและมุ่งมั่นตั้งใจอย่างรักษาคำมั่นสัญญาหรือไม่ คุณเคยจริงใจกับคนอื่นหรือไม่ คุณได้ทำหน้าที่ด้วยใจรักผู้อื่น เพื่อให้การกระทำของคุณมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนไปในด้านบวกหรือไม่ คุณได้ทำอย่างทุ่มเท ทำอย่างดีที่สุด ณ ขณะนี้และจะทำให้ดีกว่าในวันต่อๆไปหรือไม่ หรือคุณตั้งเป้าอยู่ให้สบายตัวที่สุด ทำน้อยให้ได้มากที่สุด โกยเงินให้ได้มากที่สุด คุณกำลังเลือกเป็นคนแบบไหนอย

พื่อนๆครับ ไม่ว่าคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณลุกขึ้นมายืนหยัดด้วยการเป็นแบบอย่างที่ดีของคนรุ่นต่อๆไป ด้วยการยืนหยัดสร้างความแตกต่าง เป็นคนมีอัตลักษณ์เชิงคุณค่าที่เสียสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้อื่น ผมเชื่อมั่นว่า เมื่อช่วยให้ผู้อื่นมีชีวิตที่ดีขึ้นได้มากเท่าไหร่ ชีวิตของคุณก็จะยิ่งดีขึ้นมากเท่านั้นครับ

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Prepare For Win


"ความอยากที่จะชนะนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ถ้าไม่มีความอยากที่จะเตรียมตัวเพื่อให้ชนะ"

การสร้างทุกสิ่งในโลกใบนี้ ล้วนต้องมีขั้นตอนของการเตรียมตัวอย่างดีเป็นองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมทีมกีฬาให้พร้อม การเตรียมวัตถุดิบไว้ผลิต การเตรียมตัวสอบ เตรียมตัวสอนและเตรียมพื้นที่สำหรับเพาะปลูก

ดังนั้น หากคุณต้องการความสำเร็จ สิ่งแรกที่คุณต้องทำก่อนก็คือการเตรียมตัวเพื่อความสำเร็จ อย่าคาดหวังว่าจะต้องได้ความสำเร็จโดยคุณไม่ต้องปรับเตรียมอะไรเลย จงจัดเวลาและสมาธิสำหรับการเตรียมตัว ซึ่งประกอบด้วยการเตรียมร่างกาย เตรียมจิตใจ เตรียมความรู้ เตรียมแผนงานและเตรียมแผนพิชิตอุปสรรคปัญหา เมื่อคุณเตรียมสิ่งนี้ได้ดีและต่อเนื่อง เท่ากับว่าคุณได้ดูแลงานสำคัญที่เป็นต้นเหตุของความสำเร็จให้อยู่ในการควบคุมของคุณแล้ว ผลลัพธ์ที่คุณต้องการก็จะเกิดตามมา

เพื่อนๆครับ คนส่วนใหญ่ล้วนมีความอยากที่จะชนะชีวิต แต่มักไม่มีความอยากที่จะเตรียมตัวเพื่อให้ชนะ จงจำไว้ว่า ถ้าคุณยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี มันยังทันที่คุณจะเริ่มต้นใหม่อย่างเข้าใจวิธีการสร้าง จงใส่ความอยากที่จะเตรียมตัวให้แรงพอๆกับความอยากที่จะสร้างผลลัพธ์ เพราะความอยากที่จะชนะอย่างเดียวไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ถ้าคุณไม่มีความอยากที่จะเตรียมตัวเพื่อให้เป็นผู้ชนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หายนะของความคิดเชิงลบ และพลังแห่งศรัทธา

 

    จิตใต้สำนึกของเราไม่แยกแยะระหว่างความคิดที่สร้างสรรค์และทำลายล้าง มันจะทำงานตามสิ่งที่เราใส่ให้มัน ซึ่งก็คือความคิดนั่นเอง จิตใต้สำนึกจะแปรเปลี่ยนความคิดที่เจือปนด้วยความกลัวไปสู่ความเป็นจริง และจะแปรเปลี่ยนความคิดที่แฝงไว้ด้วยกล้าหาญหรือศรัทธาไปสู่ความเป็นจริงด้วยเช่นกัน เหมือนกระแสไฟฟ้าที่เดินเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ถ้าเราใช้อย่างถูกวิธีก็จะมีประโยชน์  แต่ถ้าใช้ผิดวิธี เครื่องจักรอาจพังพินาศ เช่นเดียวกันกับกฎแห่งการเสนอแนะตัวเอง ซึ่งจะนำสันติสุขและความมั่งคั่งร่ำรวยมาให้คุณ หรือนำคุณไปสู่ความล้มเหลว สิ้นหวัง และหมดสิ้นทุกอย่างก็ได้ ทั้งหมดนี้ขึ้นกับความรู้ ความเข้าใจ และการรู้จักนำมันไปใช้

    ถ้าจิตใจของคุณเต็มไปด้วยความคาดหวัง สงสัยและไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองในการนำเอาพลังงานอัจฉริยภาพแห่งจักรวาลมาใช้  คุณก็จะไม่สามารถใช้พลังงานนั้นได้  กฎของการเสนอแนะตัวเองจะนำพาความไม่เชื่อและความสงสัยให้จิตใต้สำนึกแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นจริง เหมือนกระแสลมที่พัดพาเรือลำหนึ่งไปทางตะวันออก แต่พัดพาเรืออีกลำไปตะวันตก

     กฎแห่งการเสนอแนะตัวเองนั้นจะยกระดับคุณขึ้นหรือลงก็ได้ ซึ่งเป็นไปตามวิถีความคิดของคุณเอง
กฎแห่งการเสนอแนะตัวเอง ทำให้บางคนยกระดับตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้

เหมือนอย่างที่บทกวีนี้ได้พรรณนาไว้ โปรดสังเกตการใช้ถ้อยคำแล้วคุณจะเข้าใจความหมายลึกซึ้ง

ถ้าคุณ คิด ว่าคุณล้มเหลว คุณก็จะเป็นตามนั้น
ถ้าคุณ คิด ว่าคุณไม่กล้า คุณก็จะไม่กล้า
ถ้าคุณอยากจะชนะ แต่กลับ คิด ว่าตัวเองไม่สามารถชนะได้
ก็ค่อนข้างแน่นอนว่าคุณจะไม่ชนะ
ถ้าคุณ คิด  ว่าคุณจะพ่ายแพ้ คุณก็แพ้
เหนือสิ่งอื่นใดที่เราค้นพบ
ความสำเร็จเริ่มต้นจากความตั้งใจ
และทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ ในใจของเรานี่เอง
ถ้าคุณ คิด ว่าตัวเองเหนือชั้น คุณก็เป็นเช่นนั้น
คุณต้อง คิด ให้ไกลและไปให้ถึง
คุณต้อง มั่นใจในตัวเอง ก่อน จึงจะได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จ
สงครามชีวิตไม่ได้มุ่งสู่ผู้ที่เข้มแข็งกว่า และรวดเร็วกว่าเสมอไป
เพราะไม่ช้าก็เร็วผู้ชนะที่แท้จริงก็คือ คนที่ คิด ว่าเขาทำได้ 

     ถ้าคุณปรารถนาพลังแห่งศรัทธานี้ จงเรียนรู้จากผู้ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและประสบความสำเร็จ  พื้นฐานของคริสเตียนคือความเชื่อ อาจมีผู้คนมากมายเข้าใจพลังอันยิ่งใหญ่ผิดไป  แต่มหัศจรรย์แห่งคำสั่งสอนและความสำเร็จของพระคริสต์นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าศรัทธา

     ถ้ามีปรากฏการณ์แห่งความอัศจรรย์แก่จิตใจก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากศรัทธาทั้งสิ้น  มหาตมะคานธี ของอินเดีย  เป็นหนึ่งในตัวอย่างอันน่าอัศจรรย์ของศรัทธาคานธีใช้พลังอำนาจได้มากกว่าผู้ใดในยุคสมัยเดียวกัน และเขามีพลังอำนาจ ทั้งๆที่เขาไม่มีเครื่องมือแห่งอำนาจเหมือนคนทั่วๆไป เช่น เงินทอง อาวุธ
กำลังทหารและยุทธปัจจัย คานธีไม่มีเงิน ไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ แต่เขามีพลัง

      พลังอำนาจของเขามาจากไหนกัน? เขาสรรค์สร้างมันมาจากความเข้าใจในหลักการแห่งศรัทธา และผ่านศักยภาพของเขาในการที่จะปลูกฝังศรัทธานั้นเข้าไปในจิตใจและผู้คนสองร้อยล้านคน  คานธีสร้างศรัทธาที่น่าอัศจรรย์ทำให้คนสองร้อยล้านคนรวมตัวกัน   และขับเคลื่อนไปสู่ชาติด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

จะมีพลังอื่นใดในโลกทำเช่นนี้ได้นอกจากศรัทธา?

สุนทรพจน์มูลค่าพันล้านดอลลาร์



จากหนังสือ  คิดแล้วรวย 
 
  ค่ำวันที่ 12 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1900 ผู้ทรงอิทธิพลทางการเงินระดับประเทศ 80 คน ได้มาอยู่ร่วมกันในงานจัดเลี้ยงของยูนิเวอร์ซิตี้คลับ เพื่อเป็นเกียรติแก่ชายหนุ่มผู้หนึ่งจากฝั่งตะวันตก มีแขกในงานไม่รู้กี่คนที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นพยานแห่งความสำเร็จของประวัติศาสตร์อุตสาหกรรม

    เกาะแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1865 โดยกลุ่มคนที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยต่างๆ  เพื่อสานต่อความสัมพันธ์หลังจบการศึกษา ต่อมาใช้เพื่อแสดงงานศิลปะ และเป็นที่ประชุม   สังสรรค์เฉพาะสมาชิก ซึ่งมักเป็นเศรษฐีและบุคคลที่มีชื่อเสียง (ปัจจุบันจัดเป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าของสหรัฐอเมริกา)

     เจ. เอ็ดเวิร์ด ชิมมอนส์ และชาร์ลส์ สจ็วต สมิท รู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณ ชาร์ลส์ เอ็ม. ชวอบ เป็นอย่างมาก พวกเขาได้พบปะกับชวอบที่พิตสเบิร์กจึงได้จัดงานเลี้ยงอาหารเย็นนี้ขึ้นเพื่อแนะนำตัวชวอบ
นักอุตสาหกรรมเหล็กวัย 38 ปี ให้กับสมาคมธนาคารฝั่งตะวันออก  พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเรื่องตื่นเต้นอะไรในงานนี้

     ความจริงแล้ว ผู้คนชาวนิวยอร์กที่อยู่ในงานไม่ค่อยสนใจกับเรื่องศิลปะการพูดเท่าใดนัก หากไม่ต้องการให้แขกในงาน เช่น  ตระกูลสติลล์แมนส์, แฮรี่แมนส์ และแวนเดอร์บิลต์ เบื่อหน่าย เขาก็ควรจะจำกัดคำพูดเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ แม้แต่จอห์น เปียร์ปองต์ มอร์แกน ซึ่งนั่งอยู่ด้านขวาของชวอบ ก็เพียงแต่กล่าวขอบคุณสั้นๆ เท่านั้น  จนทำให้สื่อมวลชลที่ไปทำข่าวกังวลว่าวันพรุ่งนี้อาจไม่มีข่าวไปลงตีพิมพ์

     ดังนั้นเจ้าภาพทั้งสองและแขกพิเศษจึงนั่งรับประทานอาหารไปโดยสนทนากันเพียงเล็กน้อยเป็นเรื่องทั่วๆ ไป มีนายธนาคารและนายหน้าซื้อขายไม่กี่คนที่เคยพบกับชวอบ ผู้ซึ่งดำเนินธุรกิจกับธนาคารโมนอนกาเฮลา ไม่ค่อยมีใครรู้จักมักคุ้นกับเขา แต่ก่อนที่ค่ำคืนนั้นจะผ่านไป พวกเขาทุกคนรวมไปถึงเจ้าพ่อวงการเงินมอร์แกน ต่างก็ถูกชักชวนให้หลงใหล และแล้วเด็กหนุ่มพันล้านแห่งบริษัทยูไนเต็ดสเตตสตีล ก็ได้แจ้งเกิดขึ้นในงานนี้เอง


     โชคไม่ดีนักที่ไม่มีการบันทึกสุนทรพจน์ของชาร์ลส์ ชวอบ ในค่ำคืนนั้น อย่างไรก็ตาม มันเป็นสุนทรพจน์ง่ายๆ ที่สำนวนอาจไม่ดีนัก (ชวอบไม่ค่อยใส่ใจกับการพิถีพิถันในการใช้ภาษามากนัก)
แต่เต็มไปด้วยคำคม และมีพลังกระตุ้น จนมีผลทำให้เกิดการรวบรวมเงินได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์
หลักจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงการระดมเงินก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าชวอบจะพูดนานถึง 90 นาที
มอร์แกนยังได้ขอพูดคุยนอกรอบต่ออีกเป็นชั่วโมง

      มหัศจรรย์แห่งบุคลิกภาพของชวอบได้เป็นที่ประจักษ์และทรงพลังอย่างยิ่งแต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ
โครงการที่ชัดเจนในการเพิ่มพูนมูลค่าของเหล็กกล้า มีคนมากมายพยายามทำให้มอร์แกนสนใจในการผูกขาดกิจการการค้าเหล็กกล้า หลังจากได้ผูกขาดกิจการต่างๆไปแล้ว เชน ขนมปังกรอบ สายโทรเลข น้ำตาล ยาง วิสกี้ น้ำมัน และหมากฝรั่ง

      จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ เป็นนักเก็งกำไร ซึ่งสนใจในเรื่องการควบรวมอุตสาหกรรมเหล็กกล้า แต่มอร์แกนไม่ค่อยไว้ใจในเขา ส่วนพี่น้องตระกูลมัวร์ บิล และจิม นักค้าหุ้นแห่งชิคาโก ผู้ซึ่งเคยควบรวมกิจการบริษัทขนมปังกรอบก็สนใจเช่นกัน แต่ในที่สุดก็ล้มเหลว ส่วน อัลเบิร์ต เอช. แกรี่ นักกฎหมายระดับประเทศก็สนใจ แต่กิจการเขาไม่ใหญ่พอที่จะดำเนินการได้
   
      จนกระทั่งสุนทรพจน์ของชวอบนี่เองที่ทำให้ เจ. พี. มอร์แกน มองเห็นภาพการทำธุรกรรมทางการเงินอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้ว่าโครงการนั้ดูเหมือนเป็นความเพ้อฝันก็ตาม  การระดมเงินทุนซึ่งได้เริ่มต้นมาเกือบหนึ่งชั่วอายุคนแล้ว  ได้ดึงดูดบริษัทขนาดเล็กนับพันที่มีปัญหาการบริหารจัดการเข้ามารวมกันเป็นบริษัทใหญ่ที่มีศักยภาพมากขึ้น

     นักธุรกิจเจ้าเล่ห์ จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ ได้เข้าสู่สงครามการแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าด้วยการก่อตั้งบริษัทอเมริกันสตีลแอนด์ไวร์ และยังได้ร่วมกับมอร์แกนสร้างบริษัทเฟเดอรัลสตีลอีกด้วย


     ส่วนทางด้านของ แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ก็มีการควบรวมกิจการให้ใหญ่ขึ้น  ด้วยการรวมหุ้นส่วนธุรกิจทั้งสิ้น 53 บริษัท ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ควบรวมกิจการอีกแต่เป็นบริษัทเล็กๆ  และไม่มีความสำคัญ บริษัทเล็กๆ เหล่านี้พยายามรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แต่เกือบทุกบริษัทไม่สามารถทำลายองค์กรขนาดใหญ่ของคาร์เนกีได้ เรื่องนี้มอร์แกนก็รู้ดี และคาร์เนกีก็รู้เช่นกัน

     ด้วยวิสัยทัศน์อันสูงส่งของคาร์เนกี ครั้งแรกดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่ต่อมากลับลายเป็นความแค้นเคือง
กลุ่มบริษัทเล็กๆ ของมอร์แกนพยายามสกัดกั้นธุรกิจของคาร์เนกี เมื่อพยายมทำกันจนรุนแรงเกินไป
อารมณ์ของคาร์เนกีก็เปลี่ยนเป็นความโกรธและตอบโต้กลับไป เขาตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานเหล็กประกบกับคู่แข่งทางธุรกิจ ทั้งๆ  ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจผลิตภัณฑ์ประเภทลวด ท่อเหล็ก ห่วง หรือเหล็กแผ่นเลย  เขาพอใจที่จะผลิตเฉพาะเหล็กกล้าซึ่งเป็นวัตถุดิบเพื่อให้คนอื่นนำไปแปรรูป

     เขาได้เริ่มทำผลิตภัณฑ์เหล็กทุกรูปแบบที่ต้องการ คาร์เนกีได้ร่วมกับชวอบซึ่งขณะนั้นทำงานเป็นผู้จัดการ เพื่อวางแผนที่จะทำให้คู่แข่งหลังชนกำแพง  ดังนั้นจากสุนทรพจน์ของ ชาร์ลส์ เอ็ม. ชวอบ มอร์แกนจึงได้มองเห็นปัญหาในการควบรวมบริษัทอื่นๆ ว่า การควบรวมกิจการจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้เลย ถ้าปราศจากคาร์เนกียักษ์ใหญ่แห่งวงการ

    สุนทรพจน์ของชวอบในค่ำคืนของวันที่ 12 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1900 ได้แสดงให้เห็นอย่างไร้ข้อสงสัยว่า
มอร์แกนสามารถเข้าไปครอบครองอาณาจักรธุรกิจอันกว้างใหญ่ไพศาลของคาร์เนกีได้ เขาได้พูดถึงโลกแห่งอนาคตของเหล็ก  การปรับปรุงองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานเหล็กที่ไม่ประสบความสำเร็จและการสร้างสินทรัพย์ให้เพิ่มขึ้น การขนส่งสินแร่ การบริหารจัดการ และการเข้าสู่ตลาดในประเทศ

     ยิ่งกว่านั้น เขายังได้พูดถึงคนที่คิดไม่ซื่อซึ่งรอจังหวะความผิดพลาดของผู้อื่น พยายามผูกขาดการค้าขายแต่เพียงผู้เดียว ปั่นราคา คอยรอรับเงินปันผล ชวอบได้ประณามระบบที่เลวร้ายนี้ นโยบายที่ไม่มีวิสัยทัศน์นี้จะไปจำกัดตลาดการค้า สวนทางกับการเรียกร้องของผู้คนที่ต้องการให้ธุรกิจทั้งหมดขยายตัว เขาเสนอว่าถ้าราคาเหล็กถูกลง ตลาดการค้าเหล็กจะขยายตัว การให้เหล็กก็จะมากขึ้น และสามารถขยายการค้าไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลก

      อาจไม่ค่อยมีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วชวอบมีหัวคิดดีมากในเรื่องการผลิตสมัยใหม่ ดังนั้นงานเลี้ยงที่ยูนิเวอร์ซิตี้คลับคืนนั้น จึงได้นำมาซึ่งบทสรุป  มอร์แกนกลับบ้านแล้วนั่งคิดเกี่ยวกับการคาดการณ์ของชวอบ  ส่วนชวอบก็กลับไปพิตสเบิร์กเพื่อเริ่มดำเนินธุรกิจให้คาร์เนกีต่อไป ขณะที่แกรี่และคนอื่นที่เหลือกลับไปเตรียมติดตามกระดานหุ้น

      เวลาผ่านไปไม่นานนัก มอร์แกนใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการพิจารณาเหตุและผลที่ชวอบได้บอกไว้ เมื่อเขายืนยันกับตัวเองว่า ไม่มีอุปสรรคทางการเงินสำหรับเขาแต่อย่างใด เขาจึงได้ติดต่อและขอพบกับชวอบ ชวอบบอกเขาไปว่าคาร์เนกีคงไม่พอใจนักถ้ารู้ว่าประธานกรรมการบริษัทของเขาติดต่ออย่างสนิทสนมกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งวอลล์สตรีต จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ ได้แนะนำว่า ถ้าชวอบปรากฏตัวในโรงแรมเบลเลอวู รัฐฟิลาเดลเฟียแล้วล่ะก็ เจ. พี. มอร์แกน ก็อาจไปอยู่ที่นั่นโดยบังเอิญ แต่เมื่อชวอบมาถึงที่นั่นแล้ว บังเอิญมอร์แกนเกิดป่วยกะทันหันอยู่ที่บ้านในนิวยอร์ก เขาจึงได้เชิญชวอบให้ไปพบ

       ชวอบเดินทางไปนิวยอร์กเพื่อพบกับนักการเงินผู้ยิ่งใหญ่ที่ห้องสมุดในบ้านพักของเขา ถึงตอนนี้นักประวัติศาสตร์ทางเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบของละครเรื่องนี้ แอนดรูว์ คาร์เนกี เป็นคนจัดฉากทั้งหมด ตั้งแต่การกล่าวสุนทรพจน์ของชวอบในงานเลี้ยงอาหารค่ำไปจนถึงการพูดคุยกับมอร์แกนราชาแห่งการเงินในคืนวันอาทิตย์ แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

     กล่าวคือ เมื่อชวอบถูกมอร์แกนเรียกมาจัดการข้อตกลงให้สำเร็จผล ชวอบเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคาร์เนกีที่เขาเรียกว่า  “นายน้อย” นั้น จะสนใจรับฟังการเสนอซื้อขายครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน  โดยเฉพาะขายให้กับคนกลุ่มคนที่คาร์เนกีค่อนข้างดูแคลน   ชวอบตอบรับการประชุมด้วยข้อความซึ่งเขียนด้วยลายมือถึง 6 หน้ากระดาษ   บรรยายถึงศักยภาพของบริษัทเหล็กแต่ละแห่งที่เขาระบุว่าเป็นดาวรุ่ง

       ทั้งสี่คนได้ไตร่ตรองเรื่องนี้ตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าผู้นำการพูดคุยคือ มอร์แกน ผู้ซึ่งมีความเชื่อว่าเงินคือพระเจ้า คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับเขาคือหุ้นส่วนธุรกิจมีระดับโรเบิร์ต เบคอน คนที่สามคือ  จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ ผู้ซึ่งมอร์แกนดูหมิ่นว่าเป็นพวกเก็งกำไร แต่ก็ใช้เขาเป็นลูกมือ คนที่สี่คือ ชวอบ  ผู้รอบรู้เรื่องการผลิตและขายเหล็กมากกว่าใครทั้งหมด

       ตลอดการประชุมนั้นไม่มีใครติดใจสงสัยในข้อมูลของชวอบ ถ้าเขาบอกว่าบริษัทไหนคุ้มค่ากับการลงทุน  มันก็เป็นตามนั้น นอกจากนี้เขายังยืนยันให้ควบรวมกิจการเฉพาะบริษัทที่เขาเสนอมาเท่านั้น
เขานำเสนอแต่บริษัทใหญ่ๆ ที่จะไม่มีการแยกกันอีกต่อไป และไม่เอาใจกลุ่มเพื่อนของมอร์แกนซึ่งโลภมากต้องการโยนบริษัทตัวเองให้มอร์แกนรับผิดชอบภาระทางการเงิน

     เมื่อรุ่งอรุณมาถึง มอร์แกนลุกขึ้นยืน ถามคำถามเดียวที่ยังเหลืออยู่ เขาถามชวอบว่า

“คุณคิดว่าคุณสามารถโน้มน้าวให้แอนดรูว์ คาร์เนกี ตัดสินใจขายกิจการหรือไม่?” 

“ผมจะลองดู” ชวอบตอบ
“ถ้าคุณทำให้เขายอมขาย ผมจะตกลงตามที่คุณเสนอ” มอร์แกนกล่าว


   เท่านี้ก็น่าพอใจ แต่คาร์เนกีจะขายเท่าไร? เขาต้องการเงินเท่าไร? (ชวอบคิดไว้ว่าประมาณ 320 ล้านดอลลาร์) เงื่อนไขของการจ่ายจะเป็นอย่างไร? หุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ? พันธบัตร? หรือเงินสด?
น่นอนว่าไม่มีใครจ่ายเงินมากขนาดนั้นด้วยเงินสดได้ ในการแข่งขันกอล์ฟที่สนามในเซนต์แอนดรูว์ เมืองเวสต์เชสเตอร์ คาร์เนกีสวมเสื้อหนาว  และชาร์ลีก็ยังคงพูดไม่หยุดเหมือนเคย แต่ไม่มีการพูดคุยเรื่องธุรกิจ

     จนกระทั่งได้นั่งคุยกันในเรือนรับรองของคาร์เนกี เช่นเดียวกับที่ได้เกลี้ยกล่อมให้มหาเศรษฐี 80 คนที่ยูนิเวอร์ซิตี้คลับเคลิบเคลิ้มมาแล้ว ชวอบให้สัญญากับคาร์เนกีถึงช่วงเกษียณอายุแสนสบายด้วยเงินหลายล้านเพื่อให้เขาพอใจ ในที่สุดคาร์เนกีก็ยินยอม เขาเขียนตัวเลขใส่กระดาษ ยื่นส่งให้ชวอบแล้วพูดว่า “เอาล่ะ นั่นคือราคาที่เราจะขาย”  ตัวเลขนั้นประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ มันใกล้เคียงกับที่ชวอบเคยกำหนดไว้คือ 320 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มให้อีก 80 ล้านดอลลาร์ สำหรับมูลค่าที่เพิ่มขึ้นใน 2 ปีผ่านมา

     ต่อมาบนดาดฟ้าเรือทรานส์แอตแลนติก คาร์เนกีกล่าวกับมอร์แกนว่า

 “ผมคิดว่า ผมต้องการเงินเพิ่มอีก 100 ล้านดอลลาร์”  

“ถ้าคุณขอมา ผมก็ให้”  มอร์แกนตอบอย่างอารมณ์ดี

  เมื่อผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษได้รับโทรเลขว่า บริษัทเหล็กระดับโลกในต่างประเทศมีการควบรวมกิจการกัน
ย่อมกลายเป็นข่าวใหญ่อย่างแน่นอน ประธานแฮดเลย์แห่งเยล ถึงกับประกาศว่า ในรอบ 25 ปี  จากนี้ไปจะไม่มีการควบรวมกิจการยิ่งใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นให้เห็นอีก คีน-นักค้าหุ้นรีบกลับไปทำงานของเขาคือ นำหุ้นตัวใหม่ให้สาธารณชนรับรู้ถึงเงินทุนอันมหาศาลเกือบ 600 ล้านดอลลาร์ คาร์เนกีได้เงินล้านของเขา

    มอแกนได้ 62 ล้านดอลลาร์สำหรับความพยายามในครั้งนี้ รวมไปถึงเกตส์ และแกรี่ก็ได้เงินล้านเช่นกัน

ความร่ำรวยเริ่มจากความคิด


     เรื่องราวของธุรกิจใหญ่ที่คุณได้อ่านจบไปแล้วนั้น  เป็นการอธิบายได้อย่างดีถึงวิธีที่จะเปลี่ยนเป็นปณิธานไปสู่ผลในทางปฏิบัติ  องค์กรยักษ์ใหญ่นั้นเกิดจากจิตใจของคนเพียงคนเดียว  การวางแผนให้องค์กรอุตสาหกรรมเหล็กกล้ามีความมั่นคงทางการเงิน  ก็เกิดจากการสร้างสรรค์ของคนคนเดียวกัน ศรัทธา ปณิธาน จินตนาการ และความมุ่งมั่นของเขา  อันเป็นส่วนประกอบสำคัญในการถือกำเนิดของยูไนเต็ดสเตตสตีล

     มูลค่าการซื้อขายโรงงานถลุงเหล็กและอุปกรณ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายนี้ดูสมเหตุสมผล แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนพบว่า การประเมินสินทรัพย์ของบริษัทนั้น มูลค่าของมันได้เพิ่มขึ้นถึง 600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน)  การเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์นี้ก็เนื่องมาจากการบริหารจัดการเพื่อรวบรวมธุรกิจให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง

   ไอเดียของ ชาร์ลส์ เอ็ม. ชวอบ รวมกับศรัทธาที่ถูกส่งผ่านเข้าไปสู่จิตใจของ เจ. พี. มอร์แกน และคนอื่น กลายเป็นผลกำไรถึง 600 ล้านดอลลาร์ ผลกำไรนี้มาจาก “ความคิด” อย่างเดียวเท่านั้น บริษัทยูไนเต็ดสตีลเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นบริษัทที่ร่ำรวยและยิ่งใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งในสหรัฐอเมริกา จ้างงานคนนับพันคนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นตลาดการค้าเพิ่มขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงผลกำไร 600 ล้านดอลลาร์ที่ชวอบใช้ความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา

   ความร่ำรวยเริ่มต้นมาจากความคิด ส่วนจะได้มากน้อยเพียงไรนั้น ขึ้นกับความคิดในจิตใจของแต่ละคนที่จะนำไปลงมือปฏิบัติ ศรัทธาจะทำลายอุปสรรคต่างๆ จงจำไว้ว่า เมื่อคุณพร้อมที่จะเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อสิ่งที่คุณต้องการ รางวัลแห่งความสำเร็จจะรอคุณอยู่

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อารมณ์แห่งศรัทธา ความเชื่อ และจิตใจ

ศรัทธา ความเชื่อ เป็นปัจจัยสำคัญของจิตใจ


     เมื่อศรัทธาหลอมรวมเข้ากับความคิดจะทำให้จิตใต้สำนึกสามารถรับรู้คลื่นความคิดนั้น  จิตใต้สำนึกจะแปลความหมายและส่งมันไปสู่อัจฉริยภาพแห่งจักรวาล(infinite intelligence)

    อารมณ์แห่งศรัทธา ความรัก และกามารมณ์ เป็นอารมณ์เชิงบวกที่ทรงพลังที่สุด  เมื่อสามสิ่งนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันมันจะแต่งแต้มสีสันให้กับความคิด  ซึ่งจะทำให้มันสามารถเข้าสู่จิตใต้สำนึกได้  ที่นั่นมันจะถูกแปรเปลี่ยนไปสู่รูปแบบซึ่งพร้อมที่จะรับการตอบสนองจากอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล

     ข้อความต่อไปนี้สำคัญมาก ในการทำความเข้าใจกับความสำคัญของการเสนอแนะตัวเอง  เพื่อแปรเปลี่ยนปณิธานไปเป็นสิ่งที่จับต้องได้และเงินทอง

คำว่า "ศรัทธา"  หมายถึงสภาวะจิตใจที่จะถูกชักนำและสร้างสรรค์ด้วยการยืนยันหรือออกคำสั่งซ้ำๆ ไปยังจิตใต้สำนึก  ผ่านหลักการของการเสนอแนะตัวเอง

การยืนยันกับตัวเองซ้ำๆ นี้   เหมือนกับการออกคำสั่งกับจิตใต้สำนึกของคุณและมันเป็นวิธีการเดียวในการเสริมสร้างอารมณ์แห่งศรัทธา   (ความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าคุณสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้)

ลองพิจารณาว่า 

   ทำไมคุณจึงได้มาพบกับข้อความนี้ นั่นเพราะคุณต้องการที่จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงพลังความคิดแห่งปณิธาน  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้เปลี่ยนเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งรวมไปถึงเงินทองด้วย  คำแนะนำนี้วางอยู่บนพื้นฐานของ การเสนอแนะตัวเองและจิตใต้สำนึก

   และคุณจะได้เรียนรู้เทคนิคที่จะทำให้จิตใต้สำนึกเชื่อว่า ตัวคุณเองมีความเชื่อในสิ่งที่ร้องขอจิตใต้สำนึกจะจัดการกับความเชื่อนั้น และส่งมันกลับมาหาคุณในรูปแบบของ “ศรัทธา”  ตามมาด้วยแผนการที่จะนำสิ่งที่คุณได้ตั้งปณิธานไว้มาให้คุณ

   คุณจะต้องพัฒนาสภาวะจิตใจแห่งความมีศรัทธาในตัวเองและศักยภาพของตัวเองให้เกิดขึ้นมา  เป็นความจริงที่ว่า  "ศรัทธา"  เป็นสภาวะจิตใจที่จะพัฒนาให้เกิดในตัวคุณเองได้ตามธรรมชาติก็ต่อเมื่อคุณได้นำหลักการเหล่านี้ไปใช้  อารมณ์หรือความรู้สึกแห่งห้วงความคิด  เป็นสิ่งที่ทำให้ความคิดของคุณมีชีวิตชีวาและจะส่งผลต่อกิจกรรมที่จะทำต่อไป

     อารมณ์แห่งศรัทธา อารมณ์รัก และกามารมณ์  เมื่อผสมผสานเข้ากับพลังความคิดจะนำไปสู่การปฏิบัติที่สัมฤทธิผลความคิดที่ถูกเจือปนด้วยอารมณ์  (ความรู้สึก) และผสมผสานด้วยศรัทธา (ความเชื่อในศักยภาพของตนเอง)  จะเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพของตัวมันเองอย่างมีปฏิสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามความจริงข้อนี้ไม่ได้เกิดเฉาะกับพลังความคิดที่เปี่ยมด้วยศรัทธาเท่านั้น แต่เป็นจริงกับทุกอารมณ์รวมไปถึงอารมณ์เชิงลบด้วย

     นั่นก็หมายความว่า  จิตใต้สำนึกนั้นจะแปรเปลี่ยนไปสู่พลังความคิดเชิงลบหรือในทางทำลายล้างได้เช่นเดียวกันกับการแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือสร้างสรรค์นักอาชญาวิทยาได้เคยพูดถึงประเด็นนี้ไว้ว่า

“ครั้งแรกที่คนเราสัมผัสกับอาชญากรรม จะรังเกียจมัน แต่ถ้าเขายังเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่อไปอีกระยะหนึ่ง จะเริ่มเคยชินและทนกับมันได้ เขาจะรับมันไว้และถูกครอบงำในที่สุด” 

    นี่เป็นปฏิสัมพันธ์ของพลังความคิดเชิงลบที่ได้ผ่านเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกมากพอ  จนทำให้จิตใต้สำนึกยอมรับมันในที่สุด จิตใต้สำนึกจะแปรเปลี่ยนพลังนั้นให้เกิดผลในทางปฏิบัติ  นี่คือคำอธิบายว่าทำไมปรากฏการณ์เลวร้ายจึงมักเกิดขึ้นกับคนนับล้านที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย  มีผู้คนนับล้านที่เชื่อในเคราะห์กรรมของตัวเองที่ยากไร้และล้มเหลว  เพียงเพราะพลังที่เขาเรียกว่าความโชคร้าย และมีความเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมได้

ความเป็นจริงแล้วตัวพวกเขาเองต่างหากที่เป็นผู้สร้างความอับโชคให้ตัวเอง  เนื่องจากความเชื่อในโชคร้าย  ได้เข้าไปสู่จิตใต้สำนึกแบบแปรเปลี่ยนไปสู่ผลในทางปฏิบัติ ความเชื่อหรือศรัทธาของคุณเป็นรากฐานที่จะกำหนดการทำงานของจิตใต้สำนึก ดังนั้นผมจึงขอเน้นย้ำว่า คุณจะได้ประโยชน์จากการส่งปณิธานที่คุณปรารถนาลงไปสู่จิตใต้สำนึก เพื่อแปรเปลี่ยนให้เกิดผลในทางปฏิบัติหรือเป็นเงินทอง

จิตใต้สำนึกจะแปรเปลี่ยนให้เกิดผลในทางปฏิบัติด้วยวิถีทางที่สะดวกและตรงที่สุด  คำสั่งใดก็ตามที่ลงไปสู่จิตใต้สำนึกด้วยความเชื่อและศรัทธาย่อมจะบังเกิดผล  โปรดสังเกตประเด็นนี้ให้ดี เนื่องจากมันเป็นหนทางที่จะทำให้จิตใต้สำนึกทำงาน

เมื่อคุณให้คำแนะนำจิตใต้สำนึกด้วยการเสนอแนะตนเองแล้ว คุณจะสามารถหลอกล่อจิตใต้สำนึกได้โดยไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งคุณ ตัวผมเองก็เคยได้ใช้วิธีนี้หลอกล่อจิตใต้สำนึกของผม

 เมื่อคุณจะเรียกใช้จิตใต้สำนึกโดยการหลอกล่ออย่างแนบเนียนนั้น  คุณจะต้องทำตัวเองให้เสมือนว่าได้ครอบครองสิ่งที่ต้องการไว้เรียบร้อยแล้ว

    คุณจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นอารมณ์เชิงบวกให้เป็นกำลังหลักของจิตใจ อย่างไรก็ตามศรัทธาในตัวคุณไม่ได้มาจากการอ่านเพียงแค่คำแนะนำ  คุณจะต้องเข้าใจทฤษฎีอย่างถ่องแท้และเริ่มนำมันไปปฏิบัติ
ด้วยประสบการณ์และการลงมือปฏิบัติจะทำให้คุณสามารถพัฒนาศักยภาพในการผสมผสานศรัทธาเข้ากับคำสั่งที่ส่งลงไปในจิตใต้สำนึกได้

    เมื่อคุณมีศรัทธาในความสามารถของตัวเองแล้ว คุณจะสามารถออกคำสั่งต่อจิตใต้สำนึกได้  ซึ่งจิตใต้สำนึกจะยอมรับและตอบสนองในทางปฏิบัติทันที การที่จิตใจของคุณมีอารมณ์เชิงบวกเป็นหลัก
จะช่วยสนับสนุนให้เกิดศรัทธาขึ้นในจิตใจ

ศรัทธาในตัวเองเป็นสภาวะจิตใจ ที่คุณสามารถสร้างได้ด้วยการเสนอแนะตนเอง

ตลอดทุกช่วงวัยของเรา ผู้นำทางศาสนามักจะตักเตือนให้ผู้คน “มีศรัทธา” เมื่อเขากล่าวถึงการมีศรัทธา จะดูเหมือนว่าไม่มีเหตุผล เป็นแค่หลักความเชื่อทางศาสนา แต่สิ่งที่พวกเขาพลาดก็คือ ไม่ได้บอกว่าการจะมีศรัทธานั้นทำอย่างไร พวกเขาไม่ได้บอกให้รู้ว่า

“ศรัทธาเป็นสภาวะจิตใจที่สร้างขึ้นมาได้ด้วยการเสนอแนะตนเอง” 

ในบล็อกนี้ ได้อธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายถึงหลักการเพิ่มศักยภาพในตัวคุณ  เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายด้วยศรัทธาซึ่งเดิมเราไม่ได้มีมาก่อน  ก่อนที่เราจะเริ่มต้น คุณควรจะถูกย้ำเตือนอีกครั้งว่า

ศรัทธา เป็น “น้ำทิพย์อมตะ” ที่ให้ชีวิต ให้พลัง และให้ผลในทางปฏิบัติแก่พลังความคิด  ข้อความข้างบนนี้มีคุณค่าในการอ่านซ้ำ 2 ครั้ง , 3 ครั้ง และ 4 ครั้ง มันยิ่งมีคุณค่าถ้าคุณอ่านออกมาดังๆ
ศรัทธา เป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งร่ำรวย 
ศรัทธา เป็นพื้นฐานของความมหัศจรรย์ และความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายด้วยกฎทางวิทยาศาสตร์
ศรัทธา เป็นภูมิต้านทานความล้มเหลวเพียงอย่างเดียวที่เรารู้จัก
ศรัทธา เป็นสิ่งสำคัญในการผสมผสานกับปณิธาน เพื่อทำให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับอัจฉริยภาพ
แห่งจักรวาลได้
ศรัทธา เป็นสิ่งสำคัญในการแปรเปลี่ยนคลื่นความคิดที่สร้างสรรค์จากจิตใจให้เข้าไปสู่จิตวิญญาณ
ศรัทธา เป็นวิถีทางเดียวที่จะควบคุมอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล และนำไปใช้ประโยชน์

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อุปสรรคเพียงครั้งคราว แต่ความสำเร็จอยู่นาน


หนึ่งในสาเหตุของความล้มเหลวที่พบบ่อยที่สุดคือ การที่คนเราพบอุปสรรคแล้วท้อถอยไปเสียก่อน  ทั้งๆที่จริงแล้วอุปสรรคนั้นอยู่แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น 

      เมื่อเกิดความผิดพลาดเพียงครั้งหรือสองครั้งแรกก็ทำให้ทุกคนรู้สึกผิด  ระหว่างยุคตื่นทองของสหรัฐอเมริกา บุรุษชื่อ อาร์.ยู.ดาร์บี้ ก็มีคุณลุงที่เป็นโรคตื่นทองเหมือนกัน  เขารีบเดินทางไปฝั่งตะวันตกที่โคโลราโด เพื่อไปขุดทองคำและคาดหวังว่าจะร่ำรวย   เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนเราสามารถขุดทองได้จากความคิดของเราเอง  ซึ่งอาจมีมูลค่ามากกว่าขุดจากพื้นดินเสียอีก เขาขอสิทธิ์ในการขุดทองคำ
แล้วจึงเริ่มเข้าไปทำงานขุดและร่อนทอง


    หลังจากทำงานได้หลายสัปดาห์ เขาได้รับรางวัลแห่งความพยายามคือ ขุดพบแร่ทองคำเหลืองอร่ามเขารีบปิดเหมืองทองเล็กๆของเขา  โดยไม่บอกให้ใครรู้และกลับไปบ้านเกิดที่วิลเลียมเบิร์ก รัฐแมรีแลนด์เขาบอกกับญาติและเพื่อนบ้านบางคนถึงการค้นพบทองคำ  พวกเขาได้รวบรวมเงินกันเพื่อสร้างเหมืองขุดเจาะทองคำ อาร์.ยู.ดาร์บี้ ได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับลุงของเขา  และรีบกลับไปทำงานที่เหมืองต่อ

     หลุมแรกถูกขุด เมื่อได้ทองคำแล้วก็ส่งไปหลอม  ผลตอบแทนที่ได้กลับมาพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในเจ้าของเหมืองทองคำที่รวยที่สุดในโคโลราโด  ถ้าเขาเจอทองคำอีกสักสองสามหลุม นอกจากจะล้างหนี้สินได้ทั้งหมดแล้วยังสามารถสร้างผลกำไรได้มหาศาล  ยิ่งขุดลึกลงไปเท่าไหร่ ความหวังของดาร์บี้และลุงของเขายิ่งมากขึ้นเท่านั้น

      แต่แล้วก็มีบางสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นคือ เมื่อขุดต่อไปกลับไม่พบแร่ทองคำอีกเลย ความหวังพังทลายลง เขาพยายามขุดต่อไปอีกแต่ก็ยังไม่พบทองคำ  ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจที่จะหยุด  เขาขายเหมืองทองคำนั้นต่อให้พ่อค้าซื้อขายของเก่าคนหนึ่งในราคาเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์  แล้วนั่งรถไฟกลับบ้าน

      ภายหลังพ่อค้าคนนั้นได้ขอคำปรึกษาจากวิศวกรพบว่า  โครงการนี้ล้มเหลวเพราะเจ้าของเหมืองไม่คุ้นเคยกับเส้นทางของสายแร่ทองคำ จากการคำนวณ วิศวกรบอกว่าแหล่งแร่ทองคำอยู่ห่างออกไปแค่ 3 ฟุต จากจุดที่ดาร์บี้หยุดขุด  เหมืองแร่ทองคำนั้นได้ทำเงินให้พ่อค้าคนนั้นนับล้านดอลลาร์  เพียงเพราะเขารู้ว่าควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจ

      หลังจากนั้น  ดาร์บี้ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะเอาเงินทุนกลับคืนมา เขาค้นพบว่าปณิธานสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองได้  การเข้าสู่ธุรกิจขายประกันชีวิตทำให้เขาค้นพบตัวเอง  อย่าลืมว่าเขาสูญเสียโชคลาภไปเพราะว่าหยุดไปเสียก่อน ทั้งๆที่อีก 3 ฟุตก็จะถึงทองคำ ดาร์บี้ได้กำไรงามจากงานใหม่ เขาพูดกับตัวเองว่า

 “ผมเคยหยุดขุดทั้งๆที่อีก 3 ฟุตก็จะถึงทองคำ  ดังนั้นเวลาขยายประกัน ผมจึงไม่เคยหยุดขายเมื่อลูกค้าตอบว่า ‘ไม่’”

     ดาร์บี้ได้กลายเป็นหนึ่งในนักขายไม่กี่คนที่ทำยอดขายประกันชีวิตได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี  เขายึดมั่นต่อบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการล้มเลิกกลางคันในการทำธุรกิจเหมืองทองคำ

ในชีวิตจริงก่อนที่ความสำเร็จจะมาถึง เราต้องไม่หวั่นไหนต่อความล้มเหลวที่เป็นเพียงครั้งคราว

     หรือบางครั้งอาจต้องพบความพ่ายแพ้บ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ความล้มเหลวเอาชนะจิตใจเราได้
เราจะทำสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดและง่ายที่สุดก็คือ ล้มเลิกมันไปเสีย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งซึ่งคนส่วนใหญ่ทำกัน

มีผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า 500 คนในสหรัฐอเมริกา เคยบอกไว้ว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มักรออยู่
หลังจากจุดซึ่งเขาพบกับความพ่ายแพ้แค่หนึ่งก้าว ความล้มเหลวจะหลอกลวงเราด้วยการเยาะเย้ยถากถาง  มันชอบทำให้คุณสะดุดล้มเมื่อใกล้จะถึงความสำเร็จอยู่แล้ว

   คุณต้องอดทนเพื่อก้าวไปให้ถึงความสำเร็จ   และผมมีวีดีโอหนึ่งฝากไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ได้อ่านบทความถึงตอนนี้ครับ   ขอให้ทุกคนมีกำลังใจเพื่อดำเนินชีวิตต่อไปครับ  แล้วพบกันใหม่  สวัสดี

15 แนวคิดของผู้ประสบความสำเร็จ


“บุคคลที่ประสบความสำเร็จต่างๆของโลกนั้น ล้วนแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน –พวกเขาคิดต่างจากคนทั่วไป"

1. คิดให้เป็นกิจวัตร การจะเป็นนักคิดที่เก่งจำเป็นต้องมีการฝึกฝนเป็นประจำ

แดน แคธี ซีอีโอของ Chick-fil-A แฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดชื่อดังของสหรัฐจัดเวลาให้ตนเองครึ่งวันทุกๆ 2 สัปดาห์ 1 วันทุกๆ เดือน และ 2-3 วัน ทุกๆ ปีเพื่อคิดตริตรองและวางแผนในเรื่องต่างๆ

2. ใช้กฏ 80/20 นั่นคือ อุทิศ 80% ของพลังงานทั้งหมดในตัวคุณให้กับ 20% ของกิจกรรมที่สำคัญที่สุด

จำไว้เสมอว่าคุณไม่สามารถอยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง รู้จักคนทุกคนทำอะไรได้ทุกสิ่ง หลีกเลี่ยงการทำหลายๆ กิจกรรมพร้อมกันหากมันทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคุณลดลง

3. เปิดกว้างตนเองแก่ความเห็นที่แตกต่างและเปิดใจแก่ผู้คนหลากหลายประเภทไอเดียเป็นสิ่งสำคัญ แต่การต่อยอด

4. ไอเดียนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน

เตือนตัวเองไว้เสมอว่าไอเดียนั้นไม่มีสารกันบูด จงรีบทำอะไรกับไอเดียดีๆ ที่เราคิดขึ้นมาได้ก่อนที่มันจะหมดอายุไปเสีย

5. ความคิดที่ดีนั้นใช้เวลาในการสร้าง

อย่าเพิ่งลงหลักปักฐานกับสิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของคุณความคิดที่ดีมักจะต้องมีการปรับแต่งให้มีรูปร่างและผ่านกระบวนการทดสอบมาแล้ว

6. คนฉลาดมักจะชอบทำงานร่วมกับคนฉลาด

การคิดร่วมกันมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าคล้ายกับเป็นทางลัดให้กันและกันการระดมความคิดจึงเป็นวิธีการที่เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วให้กับงานต่างๆ

7. ความคิดกระแสนิยมอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุดเสมอไป

อย่าเพียงทำตามผู้อื่นเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ใครๆได้ไตร่ตรองมาแล้วจึงย่อมจะดีเสมอ ผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่ากว่าใครๆ

นั้นมักคิดอะไรด้วยตนเอง เขาจึงโดดเด่นจากฝูงชน

8. วางแผนหรือกลยุทธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดความผิดพลาด

ให้แตกประเด็นใหญ่เป็นส่วนย่อยๆ เพื่อแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้นจากนั้นอย่าลืมตรวจสอบทรัพยากรและเครื่องมือต่างๆ ที่คุณมีและจัดวางมันให้เหมาะสมในการแก้ปัญหา

9. หาเวลาคิดและทำในสิ่งที่แตกต่างอยู่เสมอๆ

ลองทำอะไรในกิจวัตรประจำวันที่คุณยังไม่เคยทำมาก่อนเพื่อการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิตและหามุมมองกับไอเดียความคิดที่สดใหม่

10. ความคิดคุณไม่มีทางที่จะถูกต้องเสมอไป

ให้โอกาสกับความคิดผู้อื่นบ้าง

11. มีกำหนดการอยู่เสมอ อย่าวางแผนเพียงวันต่อวัน

ควรวางแผนล่วงหน้าระยะยาวให้เป็นนิสัยคิดก่อนว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรจากใคร คนฉลาดจะไม่เข้าสู่การประชุม งานสังสรรค์หรือการจิบกาแฟพูดคุยอย่างไร้จุดหมาย (ใช้เวลาไปสร้างสรรงานอื่นๆดีกว่าเสียเวลาประชุมอะไรที่ไม่มีผลผลิตที่มีค่าพอ) นี่เป็นการคิดเป็นระบบเหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์การคิดที่มาจากการไตร่ตรองแล้วจะทำให้คุณมีความมั่นใจในการตัดสินใจ

12. ฝึกฝนการคิดสะท้อน (Reflective Thinking) หรือการคิดหลายแง่มุม

13. หลีกเลี่ยงการพูดแง่ลบกับตนเอง จงคิดว่าคุณสามารถทำได้และคุณจะทำ

คนฉลาดจะไม่เห็นข้อจำกัดต่างๆแต่ในทางกลับกันเขาจะเห็นโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมา

14. มีความคิดสร้างสรร

อุทิศเวลาให้กับการค้นหาไอเดียใหม่ๆ อย่าไปกลัวความคลุมเครือและความล้มเหลวในเรื่องต่างๆ

15. อย่ามองโลกในแง่บวกไปเสียทุกเรื่อง

ต้องคิดให้สมเหตุสมผล และยอมรับความเป็นจริงคิดวิเคราะห์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ จำลองสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นได้และไม่ลืมที่จะวางแผนบนพื้นฐานของทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

ผู้นำกับชัยชนะ


วันนี้จะขอแบ่งปันในเรื่องราว  ผู้นำกับชัยชนะ ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า ชัยชนะนั้นมีหลายนิยาม  มีตั้งแต่ชัยชนะที่เอาตนเองเป็นที่ตั้งโดยไม่สนใจกฎกติกามารยาท  ไปจนถึงชัยชนะที่คำนึงถึงผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนต่อผู้อื่น  ต่อองค์กรและต่อสังคมส่วนรวม  ในที่นี้  ผมจะเน้นผู้นำกับการสร้างชัยขนะในแบบที่สร้างสรรค์  เชิญติดตามได้เลยครับ

     สี่คุณสมบัติสำคัญของผู้นำผู้ชนะ

         1.ผู้นำผู้ชนะต้องเป็นคนที่มีความคิด

                 การจะเป็นผู้นำผู้ชนะได้  ต้องเริ่มต้นจากระบบคิดก่อน  ซึ่งต้องเป็นระบบคิดที่มององค์รวมเป็นหลัก  ไม่ใช่คนที่เริ่มต้นคิดว่า  ทำอะไรหรือไม่ทำอะไรเพื่อให้ตนเองได้อะไร  แต่จะคิดเสมอว่าสิ่งที่จะทำ ส่งผลกระทบกับใครบ้าง  และจะมุ่งความคิดไปในทิศทางที่เกิดผลดีขึ้นต่อทุกๆฝ่ายที่อยู่ในห่วงโซ่เดียวกัน  นอกจากนั้น  ยังต้องเป็นผู้มีความคิดที่มองเห็นจุดหมายปลายทางอย่างมีวิสัยทัศน์   มีความคิดในเชิงการกำหนดทิศทาง  ในเชิงการวางแผนและเชิง การวิเคราะห์ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ในสภาวะการณ์ต่างๆ  หากผู้นำเป็นคนที่มีความคิดเป็นพื้นฐาน  ก็ถือว่ามีคุณสมบัติหนึ่งในสี่ที่จะสร้างชัยชนะได้

      2. ผู้นำผู้ชนะต้องเป็นคนมีค่านิยมที่ถูกต้อง

             ค่านิยมในตัวผู้นำ  เป็นสิ่งที่กำกับการตัดสินใจทำหรือไม่ทำในเรื่องต่างๆ  หากผู้นำมีค่านิยมที่ผิดๆ  ก็มีโอกาสสูงที่จะเลือกทำในสิ่งที่ผิดได้  ดังนั้น  ผู้นำที่จะสามารถสร้างชัยชนะที่ยั่งยืน  จึงต้องมีค่านิยมในเชิงส่งเสริมความยั่งยืน  อันได้แก่ ค่านิยมในการเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ค่านิยมในการเคารพกติกาสังคม  ค่านิยมในการทำงานเป็นทีม ค่านิยมในการเคารพและปฏิบัติตามกฎจรรยาบรรณ  ค่านิยมแห่งการเรียนรู้พัฒนาตนเอง  ค่านิยมแห่งการสร้างความสำเร็จ  ค่านิยมแห่งการทำให้ดีกว่าเดิมเสมอ  ค่านิยมแห่งการมุ่งมั่นทุ่มเทและค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์และไว้วางใจได้  เป็นต้น

3.ผู้นำผู้ชนะต้องเป็นคนมีพลัง

           สภาวะอารมณ์เป็นตัวกำกับสำคัญในการใช้ความรู้ความสามารถของตัวผู้นำและคนอื่นๆ   ดังนั้น  ผู้นำที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโต  จึงจำเป็นต้องเป็นคนที่อยู่ในสภาวะอารมณ์เปี่ยมพลัง  พร้อมๆกับเป็นคนที่จุดประกายพลังให้แก่ผู้อื่นได้ด้วย  เมื่อผู้นำมีพลังและจุดประกายพลังให้ผู้อื่น  ก็จะทำให้องค์กรนั้นเป็นองค์กรเปี่ยมพลัง  มีบรรยากาศที่ดี  คนในองค์กรก็จะสามารถสร้างผลงานได้ดีขึ้น

4.ผู้นำผู้ชนะต้องมีความกล้าหาญ

       การนำพาองค์กรไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืนนั้น  ผู้นำต้องกล้าทำในสิ่งที่ต้องทำ  บางครั้งต้องให้ใครบางคนออกจากองค์กรเพื่อให้องค์กรไปต่อในระยะยาวได้  ต้องกล้าที่จะพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหา  ต้องกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขาอาจยังมองไม่เห็น และต้องกล้าที่จะยอมรับความจริงเพื่อการปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

        อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง  เกิดความมั่นใจมากขึ้นในการยกระดับตนเองเพื่อเป็นผู้นำผู้ชนะหรือยังครับ   ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าคุณตั้งใจและเอาจริงในการพัฒนาให้ตัวคุณเป็นผู้นำผู้ชนะ  คุณสามารถเป็นได้อย่างแน่นอน  ขอให้มีพลังในการสร้างและขับเคลื่อนผู้คน  ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เส้นชัยแห่งเดือนและปีครับ


วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

วิธีบริหารสมองและจิตใจให้แจ่มใสและเตรียมพร้อมสำหรับท­­­ุกวัน



 เรียนรู้วิธีบริหารสมองและจิตใจให้แจ่มใสและเตรียมพร้อมสำหรับท­­­ุกวัน เพื่ออารมณ์ที่สดใสและสมองที่ปลอดโปร่ง

          รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้ว การที่จะมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรงและแจ่มใสนั้น ไม่ใช่เพราะการออกกำลังกายทางร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการบริหารจิตอีกด้วย ซึ่งวิธีการบริหารจิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่างเช่นที่ นพ.สุรเกียรติ อาซานานุภาพ ได้เปิดเผยเอาไว้ในหนังสือหมอชาวบ้านครับ ขอบอกเลยว่าแต่ละวิธี ง่ายและดีต่อสุขภาพกายใจสุด ๆ เลย

          การบริหารจิตมีผลต่อสุขภาพกาย สมอง และจิตใจพอ ๆ กับการบริหารกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลต่อการพัฒนาสมองด้วยการกระตุ้นให้เกิดการ­­­งอกใหม่และการปรับวงจรใหม่ของเซลล์สมอง ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาจิตใจให้สมบูรณ์ และมีความสุขสงบเย็นอีกต่อหนึ่ง

การบริหารจิตควรทำให้เป็นกิจวัตรในชีวิตประจำวัน ซึ่งพอรวบรวมไว้ 10 วิธี ดังนี้

1. ออกกำลังกาย

          เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก ฝึกชี่กง รำมวยจีน (ไท่เก๊ก) ฝึกโยคะ เป็นต้น ในการออกกำลังกายสามารถบริหารจิตไปในตัว โดยการใช้สติระลึกรู้อยู่กับจังหวะการเคลื่อนไหว ในช่วงแรกอาจใช้วิธีนับ (เช่น นับซ้าย-ขวา นับ 1-2 หรือ 1 ถึง 10 กับจังหวะก้าว) เป็นตัวช่วย จนสติมั่น ก็ไม่ต้องนับ

2. นอนหลับให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง

          การนอนหลับดีมีผลต่อการพัฒนาสมอง หลีกเลี่ยงการอดนอนและการมีอารมณ์เครียดติดต่อกันนาน ๆ เพราะมีผลลบต่อร่างกาย สมองและจิตใจ

3. บริโภคอาหารสุขภาพตามหลักธงโภชนาการ

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดหวาน มัน เค็ม หันมากินปลา กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ ไขมันโอเมก้า 3 ในปลา (เช่น ปลาดุก ปลาซ่อน) มีผลดีต่อการสร้างเซลล์สมองใหม่ และหลีกเลี่ยงการบริโภคสุรา ยาสูบ และสารเสพติด

4. หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

          โดยการอ่าน การฟัง การค้นคว้า การหาประสบการณ์ใหม่ ๆ การคิดใคร่ครวญ การถาม การบันทึกตามหลัก "สุ. จิ. ปุ. ลิ." ควบคู่กับการฝึกใช้ความคิดเป็นประจำ เช่น การฝึกแก้ปัญหา การเล่นไพ่ การเล่นเกมต่าง ๆ

5. ฝึกสมาธิ

          เช่น ฝึกอานาปานสติ สวดมนต์ ไหว้พระ เดินจงกรม ทำละหมาด อธิษฐานจิตวันละอย่างน้อย 1-2 ครั้ง นานครั้งละ 5-10 นาที ช่วยให้จิตใจมั่นคงสงบนิ่ง ไม่วอกแวก ฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ หรือใจลอยง่าย ควรรักษาจิตที่นั่งแต่ตื่นรู้ไว้ตลอดเวลาของการปฏิบัติสมาธิ อย่าให้นานจนหลับหรือเข้าสู่ภวังค์ จะทำให้จิตเฉื่อยเนือย นำมาใช้งานในการรับรู้สิ่งเร้าอย่างรู้เท่าทันไม่ได้ ซึ่งต่างจากสติ

6. เจริญสติ-รู้ตัวกับอิริยาบถและกิจกรรมต่าง ๆ

          เช่น ระลึกรู้ตัวอยู่กับการนั่ง นอน ยืน เดิน การเคลื่อนไหวจังหวะขณะออกกำลังกายต่าง ๆ การทำกิจวัตรประจำวัน เช่น แปรงฟัน อาบน้ำ ดื่มน้ำ กินอาหาร เคี้ยวข้าว ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ให้มีความตื่นรู้อยู่กับปัจจุบันขณะ

          เมื่อจิตอยู่กับปัจจุบัน ก็จะสงบเย็น มีความสุข มีประสิทธิภาพในการทำกิจที่อยู่ตรงหน้า ไม่หวนคิดเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต หรือคิดกลัวกังวลกับเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์ เครียด สูญเสียพลังสมองโดยเปล่าประโยชน์

7.ฝึกใช้ลมหายใจเป็นระฆังแห่งสติ

          เราสามารถตามรู้ลมหายใจเข้า-ออกในการทำอานาปานสติ ในการเจริญสติต่าง ๆ และอาจเสริมด้วยการตามรู้ลมหายใจเข้าออกที่เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องปรุงแต่งลมหายใจให้ยาวให้ลึกกว่าปกติ เพียง 1-3 รอบ โดยเข้ากับออก 1 ครั้งเท่ากับ 1 รอบ โดยไม่ต้องหลับตา หรือบริกรรมแบบการทำสมาธิ

          ควรทำให้บ่อย ๆ เท่าที่รู้สึกตัวตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน ทำจนเป็นนิสัย ต่อไปก็สามารถใช้ลมหายใจเพียง 1 รอบเป็นระฆังเตือนสติก่อนทำกิจกรรมต่าง ๆ เรียกว่า "ตั้งสติก่อนสตาร์ท" หรือเวลามีอารมณ์เครียดเกิดขึ้น ก็สามารถใช้ลมหายใจเตือนตัวเองให้เกิดสติรู้ตัว และควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นให้ระงับบรรเทาหายไปได้ทันที

8. ฝึกพักใจและสมองเป็นระยะ ๆ ในแต่ละวัน

          เช่น หยุดคิด โดยหันมาชื่นชมธรรมชาติ หรือศิลปะ นานครั้งละ ½ ถึง 1 นาที, ตามดูห้วงว่างระหว่างความคิด ลมหายใจเข้าออกและเสียงต่าง ๆ, หามุมสงบในบ้าน ในที่ทำงาน หรือในสวน นั่งปล่อยวางอารมณ์อย่างเงียบ ๆ หรือตามรู้ลมหายใจประกอบ นาน 5-10 นาที เป็นต้น การพักใจและสมอง ช่วยให้มีพลังในการทำงานได้ไม่เหนื่อยล้า
9. เจริญปัญญาจากการสังเกตธรรมชาติของสรรพสิ่ง

          ว่าล้วนเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยมากมายที่มีการแปรเปลี่ยน ไม่คงที่ตลอดเวลา จนเห็นด้วยปัญญาตนว่า "ทุกสิ่งล้วนมีการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" เป็นธรรมดา ไม่ควรยืดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น ควรใช้ปัญญามองทุกสิ่งตามความเป็นจริงตามเหตุปัจจัย เงื่อนไข หรือบริบทในขณะนั้น แล้วจัดความสัมพันธ์หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัย เงื่อนไข หรือบริบทนั้น ๆ ก็จะเกิดความราบรื่น กลมกลืนประสบผลดี ไม่ทุกข์ ไม่เครียดและเป็นสุข

10. ฝึกคิดดี-พูดดี-ทำดี ให้เป็นนิสัย

          ช่วยถ่วงดุลกับธรรมชาติของจิตที่มักคิดลบซึ่งเป็นไปตามกลไกลมอง­ที่มักถูกครอบงำด้วยความมีอัตตาตัวตน นิสัยความเคยชินเดิม และอารมณ์ลบ

          นอกจากนี้ควรหมั่นมีจิตอาสาทำงานเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแ­­­ทนช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น, ฝึกฟังคนอื่น และเข้าใจคนอื่น, รู้จักใช้ปิยวาจา รวมทั้งรู้จักพูดชื่นชม ให้กำลังใจผู้คนรอบข้าง, ฝึกตามดูรู้ทันความคิด อารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ซึ่งจะช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดี

          หมั่นมองตน ทบทวนตัวเองทุกวัน วันละหลายครั้ง หรือหลังเสร็จจากการทำกิจต่าง ๆ มองให้เห็นจุดแข็ง (เพื่อให้กำลังใจตัวเอง) และจุดอ่อน (เพื่อการปรับเปลี่ยนและพัฒนาตน), หมั่นนึกขอบคุณผู้คนและสิ่งต่าง ๆ (ทั้งสิ่งมีชีวิตและมีชีวิตและไม่มีชีวิต) ที่เกื้อหนุนให้ชีวิตเราปลอดภัยและเติบโตมาด้วยดี ทั้งหมดนี้เพื่อฝึกการรู้ตนควบคุมตน และลดละอัตตาตัวตนครับ

ประโยชน์และวิธีเปลี่ยนนิสัยให้เป็นคนคิดบวก



คนคิดบวกในที่นี้หมายถึงคนที่มองโลกอย่างเป็นกลางไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีก็ได้ แต่ก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าคนที่มีนิสัยอย่างนี้เป็นพวกโลกสวยเชียวล่ะ เพราะพวกเขามีดีมากกว่านั้นอีก
             
          หากพูดถึงการเป็นคนคิดบวก ส่วนใหญ่คงนึกถึงอุปนิสัยมองโลกในแง่ดี มีทัศนคติที่เปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และแน่นอนว่าคงไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่าเป็นคนคิดบวก แต่ถ้าหากเรามาลองสำรวจตัวเองกันเล่น ๆ จาก 10 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกที่เรานำมาฝากนี้ อาจทำให้เราค้นพบความจริงว่าตัวเราก็เป็นคนคิดบวกนะ เพียงแต่ไม่เคยรู้มาก่อน

การคิดบวกคืออะไร
         
          จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาบุคลิกภาพและสังคมของสหรัฐอเมริกาเผยว่า การคิดบวกเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ตัวเองมีความสุข โดยที่การคิดบวกนั้นไม่ใช่การคิดหาคำตอบว่าอะไรถูกหรือผิด แต่เป็นการคิดเพื่อให้เราได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังเป็นไป หลายคนเข้าใจว่าการคิดบวกต้องอาศัยหลักการทางจิตวิทยาเข้าช่วย แต่ความจริงแล้วตัวเราเองก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนคิดบวกได้ตลอดเวลา

8 สิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราคิดบวก

          เป็นที่รู้กันดีว่าการคิดบวกคือการทำให้ตัวเองมีความสุข แต่ความจริงแล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจอีกด้วยนะ โดยเฉพาะสิ่งดี ๆ ต่อไปนี้ที่จะเกิดขึ้นกับเราแน่นอนเมื่อเปลี่ยนตัวเองให้คนคิดบวก

เราจะมีระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ
             
          การคิดบวกจะทำให้เรารู้สึกอยากทำในสิ่งดี ๆ เช่น กินอาหารสุขภาพ ออกกำลังกาย และไม่เครียด ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตของเราทำงานเป็นปกติ ไม่เสี่ยงเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด เช่น หัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง  และโรคความดันโลหิตสูง

เราจะมีไขมันดีมากกว่าไขมันเลวในร่างกาย
             
          ผลการทดสอบของมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดในปี 2013 ที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร The American Journal of Cardiology  เผยว่าการคิดบวกช่วยเพิ่มระดับไขมันดีในร่างกายได้ เห็นได้จากการทดสอบกับกลุ่มอาสาสมัครวัยกลางคน อายุระหว่าง 40-70 ปี ประมาณ 990 คน ที่ทำแบบทดสอบความสุขจากพฤติกรรมประจำวัน ผลคือ อาสาสมัครส่วนใหญ่มีความสุขในชีวิตประจำวันของตัวเองดี เมื่อตรวจร่างกายพบว่ามีระดับไขมันดีสูงกว่าไขมันเลว สาเหตุเป็นเพราะคนที่มีความสุขดีในชีวิตมักจะเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าคนที่มีความเครียด

เราจะมีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรงขึ้น
         
          การคิดบวกเป็นการกระตุ้นให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานเป็นปกติ เกิดการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงการนำไปใช้เผาผลาญเป็นพลังงานที่ส่งผลให้เราแข็งแรงขึ้น เห็นได้จากคนที่ร่าเริง แจ่มใสมักไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย

เราจะมีสุขภาพกายและใจที่สมดุล
           
          ผลการวิจัยส่วนใหญ่เผยว่า คนที่มองโลกในแง่ดีมักมีสุขภาพกายและใจดีตามไปด้วย เพราะพวกเขามีเคล็ดลับอยู่เพียงสิ่งเดียวคือ การทำตัวเองให้มีความสุขด้วยการหากิจกรรมทำไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ว่าง ๆ  เช่น ออกกำลังกาย การปลูกดอกไม้ การสนทนากับเพื่อนบ้าน ออกกำลังกาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย เพราะเมื่อสุขภาพจิตดี ร่างกายก็แข็งแรงตามไม่ด้วย ไม่เจ็บป่วยง่าย และก็ไม่ต้องกินยาใด ๆ

เราจะกลายเป็นคนไม่ค่อยเครียดกับอะไรง่าย ๆ
         
          คนที่มองโลกในแง่ดีเมื่อมีปัญหามักจะรับมือได้ดีกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย ส่วนหนึ่งมาจากการที่พวกเขาเชื่อว่าทุกสิ่งจะดีขึ้นได้ เดี๋ยวก็จะผ่านไป ทำให้พวกเขาแก้ปัญหาด้วยความใจเย็นมากกว่า

เราจะกลายเป็นคนร่าเริง แจ่มใสน่าเข้าใกล้
             
          การมองโลกในแง่ดีช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเราให้กลายเป็นคนนิสัยน่ารักมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราจะมีทัศนคติที่เปิดกว้างรับฟังคนอื่น ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด ดูเป็นคนอารมณ์ดี ทำให้ใคร ๆ ก็มองว่าเรานิสัยดีน่าเข้ามาทำความรู้จัก

เราจะรับมือได้หมดทุกปัญหา
             
          การมองโลกในแง่ดีจะทำให้เรามีสติในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล  จากผลการวิจัยเผยว่าการมองโลกในแง่ดีทำให้เราไม่รีบร้อนตัดสินเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้า เราจะไม่คิดฟุ้งซ่านเติมแต่งปัญหาให้ใหญ่โตขึ้น และเราจะมีสติมองออกว่าแก่นแท้ของปัญหานั้นอยู่ตรงไหน ทำให้เราสามารถค้นพบทางออกของปัญหาได้อย่างง่ายดาย

เราจะมีอายุยืน

          ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยลอนดอนได้ทำการทดสอบเรื่องการคิดบวกสัมพันธ์กับการมีอายุยืนอย่างไร โดยได้ทำทดสอบกับกลุ่มอาสาสมัครที่มีอายุยืนเกินร้อยปีขึ้นไปประมาณ 243 คน ด้วยการให้ทำแบบสอบถามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ผลปรากฏตรงกันว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่มักมีไลฟ์สไตล์ชอบท่องเที่ยว ชอบเดินทางไปเปิดหูเปิดตาต่างถิ่น พวกเขาเชื่อว่าการเดินทางทำให้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ได้พบเห็นโลกในมุมที่กว้างขึ้น ปล่อยวางอะไรได้มากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนคิดบวกขึ้นนั่นเอง

พลังแห่งการคิดบวกบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้

          จากผลการวิจัยในปี 1990 เผยว่าคนที่มองโลกในแง่ร้ายมักจะมีอาการป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ สาเหตุหลักมาจากการที่สุขภาพจิตใจอ่อนแอ ดังนั้นใครที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังไม่ยอมหายสักที ลองมาเช็กตัวเองว่าอาการป่วยที่มักเกิดบ่อย ๆ นั้น ติดอันดับ 1 ใน 15 อาการป่วยที่มาจากการคิดติดลบหรือเปล่า ถ้าใช่ รีบปรับทัศนคติตัวเองเสียใหม่ด่วนเลยนะจ๊ะ

  1.  มีอาการกล้ามเนื้อตึง เส้นยึดบ่อย
  2. มีอาการปวดกล้ามเนื้อโดยไม่ทราบสาเหตุ
  3. มักจะปวดหัวบ่อย
  4. มีอาการเจ็บหน้าอกโดยไม่ทราบสาเหตุ
  5. สมรรถภาพทางเพศลดลง
  6. นอนไม่หลับ และมีปัญหาเรื่องการนอนหลับในตอนกลางคืน
  7. มีอาการของระบบย่อยอาหารไม่ปกติ เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นต้น
  8. อ่อนเพลียง่าย
  9. อารมณ์แปรปรวน
  10. มีความรู้สึกกังวล หดหู่ และเศร้าซึมบ่อย
  11. รู้สึกว้าวุ่นใจเหมือนมีเรื่องที่ยังคิดไม่ตก
  12. โกรธง่าย ฉุนเฉียวบ่อย
  13. รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากเข้าสังคม อยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
  14. พฤติกรรมการกินไม่เป็นปกติ เช่น กินน้อยกว่าปกติ หรือกินจุกว่าปกติ
  15. โมโหร้ายกว่าปกติ เช่น สบถคำหยาบออกมาบ่อย ๆ ทำร้ายผู้อื่น


10 วิธีง่าย ๆ ฝึกตัวเองให้เป็นคนคิดบวก

          เมื่อได้ทราบถึงข้อดีของการคิดบวกแล้ว ลองมาดูกันหน่อยดีไหมว่าจะเริ่มเป็นคนคิดบวกได้อย่างไร จากคำแนะนำของผลการวิจัยเรื่องการเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวก ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Psychology เมื่อปี 2006 ที่เผยว่า คนบนโลกนี้มีอยู่สองประเภทใหญ่ ๆ คือ พวกที่คิดมาก กับพวกที่ไม่ค่อยคิดอะไร ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนักวิจัยได้ลองวิเคราะห์นิสัยของคนทั้งสองกลุ่มแล้วกลับค้นพบว่าพวกเขามีวิธีจัดการอารมณ์ด้านลบที่คล้าย ๆ กัน นั่นคือ หาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น ดังนั้นเรามาลองเรียนรู้วิธีเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกจากกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้กันดู ว่ามีวิธีไหนที่เราสามารถทำตามได้บ้าง

1. ไม่ทำตัวโลกสวยเกินไป
             
          การคิดบวกและการมองโลกในแง่ดีในที่นี้ไม่หมายความว่าให้เราทำตัวโลกสวย มองอะไรโรยด้วยกลีบกุหลาบไปทุกอย่าง แต่เป็นการปรับมุมมองของเรา อะไรที่คิดติดลบมากเกินไปก็ปรับให้เป็นกลางขึ้นหน่อย  และอะไรที่คิดบวกมากเกินไปก็ปรับให้พอดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีคนเข้ามาจีบ เราก็อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีว่าเขาเป็นคนดี จริงใจกับเรา ให้เผื่อใจเอาไว้บ้าง เป็นต้น

2. ไม่ตัดสินอะไรง่าย ๆ เพียงแค่ตาเห็น
             
          การเริ่มต้นคิดบวกควรมาจากความคิดที่เป็นกลาง ดังนั้นเวลาที่เห็นอะไรไม่ถูกใจ ก็อย่าเพิ่งเหมารวมไม่ว่ามันไม่ดี ให้เข้าใจไปตามสิ่งที่เห็นอย่าใส่ความรู้สึกส่วนตัว อย่าลืมว่าการคิดบวกไม่มีถูกผิดนะจ๊ะ

3. ผูกมิตรกับเพื่อนที่นิสัยร่าเริง คิดบวกเข้าไว้

          ความรู้สึกที่ดี จะนำมาซึ่งความคิดดี ๆ ดังนั้นควรมองหามิตรแท้ที่นิสัยร่าเริงแจ่มใสไว้สักคน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดด้านดี หากอยู่กับคนซีเรียส จริงจังกับชีวิตมากไป เราก็คิดบวกไม่ได้สักที จากผลการวิจัยส่วนใหญ่เผยว่า ความเครียดเป็นอารมณ์ติดต่อจากอีกคนหนึ่งได้ โดยที่ตัวเรามักไม่รู้ตัวเลยว่าทัศนคติของตัวเองจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด จนกระทั่งพฤติกรรมแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่านิสัยเปลี่ยนไป ดังนั้นหากอยากเริ่มเป็นคนคิดบวก ก็ให้เดินเข้าไปผูกมิตรกับคนที่มองโลกในแง่ดี เพราะคนเหล่านั้นจะมีมุมมองความคิดที่เปิดกว้างกว่าพวกซีเรียส จริงจังกับชีวิต

4. หมั่นคุยกับตัวเอง

          คนที่คิดบวกมักจะคุยกับตัวเองอยู่เสมอ ในที่นี้หมายถึงการพิจารณาตัวเองว่ามีด้านลบกับเรื่องอะไร แล้วในแต่ละวันรู้สึกแย่อะไรบ้าง เมื่อเขาเรียงลำดับความคิดด้านลบได้ ก็จะทำการเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ บอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ต้องมองโลกในแง่ดีมากขึ้นกว่าเดิม และฝึกพูดประโยคเชิงบวก เช่น ฉันสามารถเรียนรู้ได้ ฉันจะต้องลองทำดูก่อน หรือ ฉันคิดว่าปัญหานี้ต้องมีทางออก เป็นต้น

5. เขียนถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

          เป็นวิธีที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากขึ้น เพียงแค่สละเวลา 5 นาทีก่อนนอน ทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด แล้วเขียนบันทึกลงไปสั้น ๆ เช่น วันนี้จับฉลากปีใหม่ได้ของที่อยากได้อยู่พอดี เป็นต้น จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Research in Personality เผยว่า การเขียนบันทึกส่งผลดีต่อสุขภาพของเรา โดยเฉพาะการบันทึกประสบการณ์ที่ดี ๆ เพราะเมื่อไรที่เราเขียนบันทึกเรื่องราวลงบนหน้ากระดาษได้ ก็แสดงว่าสมองของเรามีการจดจำแต่สิ่งที่ดี ๆ แล้วยิ่งถ้าจดบันทึกเป็นประจำทุกวัน สมองของเราก็จะเก็บเกี่ยวเรื่องราวดี ๆ เอาไว้เพื่อมาเขียนบันทึกโดยอัตโนมัติเลยล่ะ

6. หัวเราะ
         
          หลายคนไม่เคยสังเกตตัวเองว่าวันหนึ่ง ๆ หัวเราะมากน้อยเท่าไร ทั้งที่ความจริงแล้วการหัวเราะเป็นสิ่งที่สะท้อนอารมณ์ได้ดีว่ากำลังมีความสุขอยู่หรือไม่ อีกทั้งยังเป็นการปรับอารมณ์ด้านลบให้ดีขึ้นด้วย  ดังนั้น ถ้าหากงานเครียดมากทั้งวัน ลองสละเวลาสัก 20 นาทีให้กับสิ่งบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น หนังตลก หนังสือการ์ตูน พูดคุยกับเพื่อนสนิท วาดภาพ ร้องเพลง เป็นต้น หากทำให้ได้ทุกวันแบบนี้รับรองว่าความเครียดไม่สะสมอยู่ในจิตใจแน่นอน

7. นั่งสมาธิ
         
          ผลการวิจัยล่าสุดเผยว่า คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันมีแนวโน้มเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากกว่าคนที่ไม่เคยนั่งเลย ส่วนหนึ่งมาจากประโยชน์ของการนั่งสมาธินั่นเอง เพราะการนั่งสมาธิเป็นการฝึกจิตใจให้ปล่อยวางความคิด ฝึกสมองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน เราก็จะรู้ทันอารมณ์ของตัวเองว่ากำลังสุขหรือทุกข์ และถ้านั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันร่างกายและจิตใจของเราก็จะไม่เก็บอารมณ์แย่ ๆ หรือเรื่องราวไม่ดีมาจำฝังใจ ผลคือเรามีความสุข จิตใจแจ่มใส นั่นเอง ดังนั้นลองทำดูนะคะ สละเวลาวันละ 5-10 นาทีก็ยังดี ใครที่ไม่ถนัดการนั่งสมาธิก็ใช้วิธีทำโยคะก็ได้

8. เปลี่ยนนิสัยเป็นคนยืดหยุ่น ออมชอมกับผู้อื่นให้มากขึ้น

          การจะเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกได้ ส่วนหนึ่งต้องเริ่มมาจากตัวเองเสียก่อน คือ เปลี่ยนความคิดที่ทุกอย่างต้องเป๊ะ มาเป็นคิดยืดหยุ่นบ้าง เพราะความคาดหวังคือสิ่งอาจทำให้เราเสียใจ มองโลกในแง่ร้ายขึ้นมาได้ ดังนั้นลองฝึกให้ตัวเองมีความคิดที่ยืดหยุ่นบ้าง จะได้ไม่รู้สึกเครียดว่าอะไร ๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจ

9. อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด

          ความกลัวก็เป็นอุปสรรคที่ทำให้เรามองโลกในแง่ดีไม่ได้ เพราะสมองยังยึดติดอยู่กับความรู้สึกที่ว่า “กลัวว่าจะ…” ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่เกิดตามที่เราคิดก็ได้ ดังนั้นเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้ปล่อยวางกับเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

10. ฝึกตัวเองให้ยิ้มง่ายขึ้น

          การยิ้มเป็นสิ่งพื้นฐานที่ช่วยให้ตัวเราเองรู้สึกมีความสุข ดังนั้นไม่ว่าจะมีเรื่องที่ทำให้ยิ้มไม่ออกก็ตาม ยังไงก็ขอให้ยิ้มแย้มเอาไว้ก่อน แทนที่จะระบายด้วยการปล่อยคำพูดแย่ ๆ ออกมา

          เห็นไหมละคะว่าพลังของการคิดบวกน่ะสุดยอดแค่ไหนสามารถทำให้สุขภาพกายและใจของเราแข็งแรงอยู่เสมอ  แต่ถึงแม้ว่าวันคิดบวกโลกจะผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อ 13 กันยายนที่ผ่านมานี้ เราก็ยังสามารถทำทุก ๆ วันให้เป็นวันคิดบวกได้ แค่ลองเปิดใจให้กว้างใส่ใจกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น เพียงเท่านี้ก็เราก็มีความสุขในทุก ๆ วันแล้ว

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

มูลค่าชีวิต

     ขอบคุณ vittarot.com

  บนโลกนี้มีแต่เรื่องที่ทำให้สับสน ระบบการศึกษาสอนให้เราเรียนเพื่อหางานดีๆเงินดีๆทำ พอเข้าทำงานก็มีคนสอนอีกว่าทำงานอย่าเกี่ยงเงิน บางคนบอกให้เดินตามความฝันอย่าทำเพื่อเงิน แต่ถ้าไม่มีเงินชีวิตก็เดือดร้อน ผู้ให้แรงบันดาลใจส่วนใหญ่บอกว่าให้ทำงานให้หนักโดนไม่ต้องแคร์เรื่องเงิน แต่ถ้าเขาจ้างให้มาพูดโดยให้เงิน 200 บาทพูดทั้งวันพวกเขาเหล่านั้นจะเอาไหม

      ตกลงแล้วเงินมันสำคัญหรือไม่สำคัญกันแน่ ผมฟันธงให้ว่าสำคัญโครตๆ อย่างน้อยคุณก็ต้องใช้มันเพื่ออาหาร 3 มื้อ อย่างน้อยถ้าพ่อแม่คุณป่วยคุณก็มั่นใจว่าคุณจะมีเงินมากพอที่จะขาดงานไปเป็นเดือนเพื่อดูแลท่าน อย่างน้อยคุณก็สามารถพาแฟนไปฮันนีมูนได้แล้วกัน แน่นอนประโยคคลาสสิก เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างบนโลก อย่างน้อยก็ความรัก คำตอบคือถูกต้อง ความรักเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อได้ แต่ยอมรับเถอะว่านอกจากความดีแล้ว ความมั่นคงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของคุณสมบัติของความรักเช่นกัน อย่างน้อยคุณก็คงไม่อยากให้แฟนของคุณต้องลำบากกัดก้อนเกลือเพราะคุณใช่มั้ย อย่างน้อยคุณก็อยากทำสิ่งที่ดีที่สุดให้คนรักของคุณใช่มั้ย?

      น่าแปลก ประเทศเราใครพูดเรื่องเงินก็มักถูกมองเป็นคนโลภ บางครั้งคนที่กระหายอยากได้เงินเยอะๆจะถูกมองเป็นพวกมารศาสนาเพราะไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมี

มีคนบอกว่าทำงานอย่าคิดถึงเรื่องเงิน…?

  เวปไซต์ Pantip เป็นเว็บที่ผมมองว่ามันคือสุดยอดของ Webboard ในโลกแล้ว ในนั้นมีผู้คนหลากหลายมากๆ มีทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานะ ผมว่าสังคมของเราขับเคลื่อนไปด้วยพลังของ Pantip เพราะมันก่อให้เกิดกระแสสังคมใหญ่ๆนับครั้งไม่ถ้วน มีกระทู้หนึ่งผมจำได้ดี เป็นกระทู้ระบายความในใจของเจ้าของกิจการคนหนึ่งเกี่ยวกับการหาคน รายละเอียดคร่าวๆคือเจ้าของกิจการมาเขียนระบายความในใจว่าเด็กสมัยใหม่นี้ใช้ไม่ได้ ต้องการเงินเดือนแพงๆทั้งๆที่ไม่มีประสบการณ์ แถมยังเลือกงานอีก ได้คนมาก็อยู่ไม่ทน สรุปก็คือมาระบายความในใจเกี่ยวกับการหาลูกน้องนั่นแหละครับ เท่าที่ผมจับประเด็นแบบเบื้องหลังได้ ก็คือเขาอยากได้พนักงานด้วยค่าแรงที่เขาคิดว่าสมเหตุสมผลนั่นแหละ ปัญหาที่ผมเดาก็คือมันสมเหตุสมผลของใคร ของนายจ้างที่ต้องการใช้เงินให้น้อยที่สุด หรือของลูกจ้างที่บังเอิญมีงานที่เสนอเงินเดือนมากกว่าให้เขาเลือก

และเมื่อมีกระทู้ของนายจ้างแล้ว กระทู้ของลูกจ้างก็มีครับ ส่วนใหญ่ก็จะสอบถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบของสายงานจนไปถึงกระทั่งเรื่องของเงินเดือน ตรงเรื่องของเงินเดือนนี่แหละครับที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่ของคนที่เริ่มต้นหางานครั้งแรกในชีวิตมักจะตั้งกระทู้ถามว่าควรจะเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะอิงเรตราคาตามวุฒิการศึกษาที่มีอยู่ ปริญญาตรีมีค่าแรงต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ราวๆ 13,000 ถึง 17,000 บาท ส่วนปริญญาโทมีราวๆ 17,000 จนถึง 30,000 บาท ส่วนระดับด็อกเตอร์นั้นไม่ทราบจริงๆ และคำแนะนำจึงไม่ได้มีอะไรมากนอกเสียจากบอกระดับมาตรฐานเงินเดือนของสายอาชีพที่ถูกถามอย่างคร่าวๆเท่านั้น

และแน่นอนตามประสาของผู้คนร้อยพ่อพันแม่ คำตอบประเภทที่ว่าอย่าคิดถึงเรื่องเงินก็ต้องมีอย่างแน่นอน ไม่ใช่สิ มันมีทุกกระทู้ที่ถูกถามนั่นแหละ คำถามคือการทำงานโดยคิดถึงเรื่องเงินมันไม่สำคัญตรงไหน คนที่พูดคำนี้ได้ส่วนใหญ่เงินเดือนสูงๆแล้วทั้งนั้น เขาไม่เดือดร้อนนี่ครับเขาเลยพูดได้เต็มปาก ที่ผมบอกว่าการทำงานโดยเอาเงินมาเป็นตัวตั้งมันสำคัญก็เพราะว่าถ้าชีวิตคุณส่วนใหญ่ต้องเสียเวลาไปกับการทำให้คนอื่นรวยขึ้น สุขสบายขึ้น คุณก็ควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกมูลค่าหรือราคาของตัวเองตามที่พอใจ นายจ้างหรือ HR มีสิทธิ์ที่จะจ้างหรือไม่จ้างก็ได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อว่าหรือไม่พอใจในสิ่งที่คนเหล่านั้นเรียกร้อง คุณอาจจะโน้มน้าวใจให้เขาเห็นว่าค่าตัวของเขาแพงเกินราคาตลาดก็ได้ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อว่าความต้องการของเขา ดูถูกหรือตำหนิเขา อย่างน้อยขอให้คิดว่าบ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูๆที่นายจ้างที่มีขับก็มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของลูกจ้างเช่นกัน

ดังนั้นผมเชื่อว่ามูลค่าเป็นสิ่งที่เจ้าของชีวิตกำหนดให้กับชีวิตของเขาเอง จะแพงหรือถูกขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้างจะตัดสินใจ!

น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่มักยอมให้ตลาดกำหนดมูลค่าของชีวิตพวกเขาว่ามีเรตราคาเท่าไหร่…?

แล้วทุกคนรับได้เพราะนี่คือเรื่องที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกัน ทีนี้ลองมาดูสมการบางอย่างที่ผมอยากจะลองตั้งโจทย์ให้พวกคุณคิดดู นี่เป็นสมการสมมุติ เป็นโจทย์สมมุติที่ไม่อิงกับความเป็นจริงซักเท่าไหร่ แต่ขอร้องว่าคุณควรจะคิดตามให้ดีๆ เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องของเงินโดยตรง และเป็นการคำนวนที่บัดซบมากๆด้วย ผมขอถามคุณว่าคุณคิดว่าชีวิตของคุณมีมูลค่าหรือราคาต่อเดือนเท่าไหร่ เอาให้ชัดๆคือคุณคิดว่าคุณควรจะได้เงินเดือนเท่าไหร่อย่างนี้ก็ได้

ได้คำตอบแล้ว ทดไว้ในใจ


    นักศึกษาส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีที่อายุราวๆ 23 ปี สมมุติว่าพ่อแม่ของคุณต้องใช้เงินเพื่อดูแลคุณทั้งเรื่องค่าอาหาร การเดินทาง ค่าป่วยไข้ไม่สบาย ค่าของเล่น ค่าเรียน ค่ารายงาน ค่าทัศนะศึกษา ค่าสตาร์บั๊ค บลาๆๆ เฉลี่ยทั้งชีวิตตีเป็นเงินราวๆ 10,000 บาทต่อเดือน (ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่พ่อแม่เสียเงินมากกว่านั้น) เพื่อแลกกับความสุข ความรัก และหลักประกันชีวิตในอนาคตของลูก เท่ากับว่า 1 ปีคุณจะใช้เงินของพ่อแม่ราวๆ 120,000 บาท คุณใช้เวลา 23 ปีเพื่อจบการศึกษาก็จะเท่ากับ 120,000 บาท คุณด้วย 23 ปี จะเท่ากับพ่อแม่ให้คุณใช้เงินแล้ว 2,760,000 บาท ด้วยมูลค่าขนาดนี้พ่อแม่สามารถซื้อรถ Mercedes benz new c class c220 cdi executive ได้พอดีเลย นั่นคือถ้าเปรียบเทียบเป็นภาพแบบทุนนิยมสุดๆ คือมูลค่าของตัวคุณมีเท่ากับหรือมากกว่ารถราคา 2,760,000 บาทแน่นอน

และถ้าสมมุติว่าถ้าคุณมีเจ้ารถคันนี้มาในครอบครองจริงๆ ผมขอถามคุณว่าคุณจะยอมให้คนเช่ารถคันนี้ในราคาเท่าไหร่ สมมุติว่าคุณให้เช่าในราคาเดือนละ 15,000 บาท เดือนหนึ่งคุณปล่อยให้เช่า 20 วันคือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และให้เช่าแค่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเช่าเหมาทั้งเดือน นั่นเท่ากับว่ารถคันนี้จะต้องถูกขับเป็นเวลา 180 ชั่วโมงเต็มต่อเดือน เมื่อคุณให้เช่าในราคา 15,000 บาทต่อเดือน ก็เอาจำนวนค่าเช่ามาหารกับจำนวนชั่วโมงดู ก็จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 84 บาทต่อชั่วโมงเท่านั้น

คุณคิดว่าบนโลกในบี้ จะมีใครปล่อยรถ Mercedes benz new c class c220 cdi executive ให้เช่าด้วยเงินเพียง 84 บาทต่อชั่วโมงหรือไม่ นี่มันบ้าชัดๆ ใครให้เช่าสิ่งของมูลค่า 2,760,000 บาทด้วยราคาเพียง 84 บาทต่อชั่วโมง บ้าจริงๆ หรือถ้าคุณหัวการค้าขึ้นมาหน่อย คุณเพิ่มค่าเช่าให้เป็นเดือนละ 25,000 บาทไปเลย เมื่อเฉลี่ยเป็นเงินต่อชั่วโมงแล้วจะเท่ากับ 139 บาทต่อชั่วโมงแล้ว แต่ถ้ามาคิดดีๆถึงแม้จะเยอะกว่าเดือนละ 15,000 บาท แต่ราคามันก็ต่ำกว่าจะรับได้อยู่ดี

ทีนี้ผมขอถามคุณนะครับ คุณว่ามูลค่าของตัวคุณ กับมูลค่าของรถ Mercedes benz new c class c220 cdi executive เจ้าสิ่งไหนมีราคาที่แพงกว่ากัน เอาความเสียหายสูงสุดมาเปรียบเทียบ ถ้ารถเบ๊นซ์เกิดพังไป อย่างมากเจ้าของก็แค่ซื้อใหม่ สูญเงินซัก 2 ล้านกว่าบาทก็ไม่เห็นเสียหาย เผลอๆไม่ต้องเสียเพราะประกันชั้น 1 ดูแลให้เสร็จสรรพ อาจจะได้รุ่นทีดีกว่าเดิม เร็วกว่าเดิม เท่กว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ถ้าชีวิตคนทั้งคนของคุณตายไป มันไม่มีอะไรมาทดแทนได้นะครับ อย่างน้อยคนที่ร้องไห้กับการตายของคุณคนแรกต้องไม่ใช่นายจ้างแน่นอน ถ้าคุณบอกว่าไม่เป็นไร ตายไปก็เริ่มต้นใหม่ในชาติหน้า ผมก็ขอถามคุณว่าคุณเชื่อไหมหละ ว่าชาติหน้ามีจริง!

ถ้าคุณคิดว่าหมื่นห้า คุณก็จะได้หมื่นห้า
ถ้าคุณคิดว่าสองหมื่น คุณก็จะได้สองหมื่น
ถ้าคุณคิดว่าหนึ่งแสน คุณก็จะได้หนึ่งแสน
ถ้าคุณคิดว่าหนึ่งล้าน คุณก็จะได้หนึ่งล้าน


สรุปเรื่องความคิด

แต่ถ้าคุณไม่มีไอเดียว่าชีวิตของคุณมีราคาเท่าไหร่ ก็ลองถามคนที่รักคุณดูสิ
แล้วจะค้นพบว่าความจริง ชีวิตของคุณประเมินค่าไม่ได้สำหรับใครบางคน

ขอถามอีกครั้ง คุณคิดว่า  Mercedes benz new c class c220 cdi executive มูลค่า 2,760,000 บาท กับชีวิตคุณ สิ่งไหนแพงกว่ากัน…???
ขอถามอีกครั้ง คุณคิดว่ามูลค่าชีวิตของคุณเท่าไหร่???


วิธีสร้างศรัทธาให้ตนเอง

  ปัญหาของคนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง คิดอยากออกแบบชีวิตตัวเอง แต่ไม่กล้าที่จะทำตามความฝัน อุปสรรคแรกและอุปสรรคเดียวที่ขวางระหว่างชีวิตกับการใช้ชีวิตคือขาดความ “เชื่อมั่น” หนักๆสุดคือการขาด “ศรัทธาในตัวเอง” ถ้าใครก็ตามที่ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นว่าแย่แล้ว แต่ถ้าไม่มีทั้งสองอย่างนี้ หมดสิทธิ์หวังว่าจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้แน่นอน


- อยากลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจของตัวเอง
- อยากกอดเงินแสนแรกในชีวิตให้สำเร็จ
- อยากประสบความสำเร็จในอาชีพเสริม
- อยากเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือน
- อยากมีความรักที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จ
- อยากออกแบบชีวิตตัวเอง แต่เหตุผลเดิมๆ กลัว
- บลาๆๆ หลายอยาก (อีกหลายข้อ)

อะไรนะ อยากทำทั้งหมดอย่างที่เขียนมา แต่ไม่มีความเชื่อมั่นงั้นเหรอ…ไม่ศรัทธาในตัวเองเหรอ ถ้าอย่างนั้น หยุดฝันเลย ไม่มีทางทำได้หรอก ผมฟันธง โลกมันโหดร้ายแบบนั้นแหละ ขาดความเชื่อมั่นและขาดความศรัทธาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งชีวิตก็จบแล้ว จบตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ

แต่ผมขอรับประกัน ใครที่ขาดความเชื่อมั่น ขาดความศรัทธาในตัวเอง รู้สึกชีวิตตัวเองไม่ได้เรื่อง ก้าวหน้าไปกว่านี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าชีวิตจะออกหัวหรือก้อย และทนอยู่กับสภาวะแบบนั้นอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมมีวิธีเด็ดๆที่จะทำให้คุณขจัดความกลัว และสร้างความเชื่อมั่นจนถึงระดับศรัทธาในตัวเองเพื่อเอาไปใช้ดีไซน์ชีวิตคุณ ใช่ ผมมีคำตอบให้คุณผู้อ่านที่รัก ง่ายมาก แต่เสี่ยง…!!!

เสี่ยงตรงไหน เสี่ยงตรงที่คนไทยชอบเล่นการพนัน ใช่ ผมกำลังชวนคุณมาพนันอนาคต ด้วยความเชื่อมั่นที่คุณมีอยู่ไม่ว่าคุณจะมีเท่าไหร่ก็ตาม ชนะได้หลายเท่าตัว แพ้เสียจนติดลบ สนมั้ย…!!! ไม่ใช้เงิน แต่ใช้อนาคตเดิมพัน…!!! เอาหละ พร้อมหรือยัง ที่จะเล่นเกมส์พนันที่มีอนาคตที่เหลือเป็นเดิมพัน เกมส์นี้ผมขอตั้งชื่อว่า “เดิมพันศรัทธาในตัวเอง”

ศรัทธาในตัวเองไม่ได้เกิดจากการพยายามบอกตัวเองหน้ากระจกว่า “เราเป็นคนเก่ง เราเป็นคนดี” แต่ศรัทธาในตัวเองเกิดจากการที่เรามีความเชื่อมั่นจากก้นบึ้งหัวใจ เป็นความเชื่อมั่นแบบบริสุทธิ์ที่ปราศจากความสงสัยว่าเราคู่ควรที่จะได้รับสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต มีหลักฐานที่ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเหมาะสมกับชีวิตที่ดี มีความสุข ออกแบบได้ เป็นชีวิตที่เราอยากได้จริงๆจากหัวใจ

ขั้นแรก มันต้องเริ่มจากการชำแหละความคิดประเภท “เราห่วยแตก ทำไม่ได้ทิ้งไป” และแทนที่ด้วยคำว่า “เห้ย เอาเข้าจริงเราก็ทำได้ เราก็เจ๋งเหมือนกันนี่หว่า”ความคิดแบบนี้แหละ คือความคิดที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ทุกๆเรื่อง ความคิดแบบนี้แหละ ถึงจะกลายเป็นการเริ่มสร้างตำนานของคุณ เป็นการสร้าง “ศรัทธาในตัวเอง”

ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่แม่ผมเป็นมะเร็ง ผมตกงาน รถโดนทุบ เงินเก็บเหลือ 300 บาททั้งตัว ความรู้สึกตอนนั้นยากเกินกว่าจะบรรยาย ผมซึ่งเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองอยู่เป็นทุน ทั้งอาย ทั้งขายหน้าที่ชีวิตล้มเหลว ไหนจะเรื่องแม่ที่ผมไม่รู้จะหาทางออกยังไงอีก ทำให้การดำเนินชีวิตในตอนนั้นยิ่งกว่าปั่นจักรยานล้อเดียว จนกระทั่งผมเจอพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังป่วยหนักระดับเป็นตายอย่างละครึ่ง เธอรวยมาก ครอบครัวน่ารักและมีความสุขกันแบบพ่อแม่ลูก (เธอมี Passive Income ในระดับสูงมากๆ)

เธอเล่าให้ผมฟังว่าธุรกิจแรกในชีวิตเธอ เธอขายกางเกงยีนต์ วันแรกเธอขับรถข้ามจังหวัดเพื่อไปขายกางเกงยีนต์ ผมจำไม่ได้ว่าเธอลงทุนเท่าไหร่ แต่เธอบอกว่าวันแรกจากการทำธุรกิจ เธอได้เงิน 70,000 บาทไปนอนกอดด้วยความดีใจ “ชีวิตคนเราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ลงมือทำเถอะน้องวิชญ์” เธอเล่าด้วยน้ำเสียงที่สนุก แต่สายตาเธอช่างหมองหม่นเหลือเกิน

ผมมานั่งคิดดู แม่ผมป่วยกาย แต่ผมป่วยทางใจ ผมอยากเป็นนายตัวเองมาตั้งแต่มหาลัย เลยคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสที่ฟ้าประทานให้เราเป็นนายตัวเองก็ได้ พอผมถามไพ่ Tarot ไพ่บอกผมว่าอยากได้ชีวิตแบบไหน เราก็ต้องลงมือทำแบบนั้น สุดท้ายผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง เพราะตอนนั้นไม่มีทางเลือก

ผมตั้งกฏหลอกๆ โดยการบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราออกกำลังกายได้ทุกวัน เราจะเป็นเศรษฐีเงินล้าน ถ้าเราสวดมนต์ไหว้พระได้ทุกวัน เราจะเป็นเศรษฐีเงินล้าน ถ้าเรากินอาหารมังสวิรัติได้ 1 เดือน เราจะเป็นเศรษฐีเงินล้าน เป็นต้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าความคิดบ้าๆบอๆ เปลี่ยนตัวเองแบบสุกเอาเผากินของผมกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนชีวิต กลายเป็นสิ่งที่ผมใช้ยามที่ผมท้อแท้ สิ้นหวัง ใช่ ถ้าเราอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเอง ก็ต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนความคิดและการกระทำ เริ่มมองเห็นไอเดียแล้วหรือยังครับ

ไพ่ของลูกค้าของผมหลายท่านมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ แต่ที่ทำไม่ได้จริงๆซะทีเพราะความเชื่อมั่นเกิดจากการบอกตัวเองด้วยความคิด ไม่ได้เกิดขึ้นจากศรัทธา ศรัทธาในตัวเองเกิดจากความเชื่อมั่น + หลักฐานความสำเร็จ นั่นหมายความว่าถ้าคุณเป็นคนที่บอกตัวเองทุกวันว่าเราเก่ง เราดี เรามีความสามารถ แต่หัวใจไม่สามารถค้นหาหลักฐานมายืนยันสิ่งที่คุณคิดได้ จบ คุณก็จะได้ชีวิตครึ่งๆกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เดินหน้า ไม่ถอยหลัง ไม่ซ้ายและไม่ขวา เพราะความเชื่อมั่นจะอยากผลักให้คุณพัฒนาตัวเอง แต่ขาดความศรัทธาจะรั้งให้คุณอยู่ที่เดิม

“ความเชื่อมั่น + หลักฐานความสำเร็จ = ศรัทธาในตัวเอง”

ดังนั้น ถ้าคุณอยากที่ประสบความสำเร็จในการออกแบบชีวิตตัวเอง คุณต้องเริ่มต้นจากการค้นหาหลักฐานของความเชื่อมั่นในตัวเอง ลองกำหนดโจทย์ขึ้นมาที่จะทำให้ตัวเองหลุดจาก Comfort Zone เช่น ฉันจะออกกำลังกายสัปดาห์ละ 120 นาทีแล้วฉันจะมีชีวิตที่ดี ฉันจะกินข้าว 3 มื้อโดยไม่กินขนมแล้วฉันจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ฉันจะอ่านหนังสือสัปดาห์ละเล่มแล้วฉันจะเป็นเศรษฐีเงินล้าน ฉันจะถือศีลห้าแล้วลูกค้าจะชอยฉัน ฉันจะสวดมนต์ไหว้พระทุกวันแล้วฉันจะกลายเป็นคนที่ความกลัวทำอะไรไม่ได้ ฉันจะเลิกกินเนื้อสัตว์ 1 เดือนแล้วฉันจะมองเห็นโอกาสในชีวิตได้เหมือนเห็นนกบิน ฉันจะนั่งสมาธิวันละ 5 นาทีแล้วหัวใจฉันจะกลายเป็นหัวใจนักสู้ ฉันจะเลิกเล่น Facebook หลัง 4 ทุ่มแล้วฉันจะมีสมาธิพอจะแก้ทุกปัญหาชีวิต หรือถ้าใน 2 เดือนฉันทำ …… ได้ ฉันจะเป็นนายตัวเองที่ประสบความสำเร็จ ฉันจะเริ่มต้นธุรกิจที่จะพลิกชีวิตฉันได้อย่างงดงาม เป็นต้น

ลองกำหนดโจทย์และผลลัพธ์ให้ตัวเองขึ้นมาแล้วควบคุมตัวเองให้ได้ ประทับตาคำว่าเราทำได้ลงไปในหัวใจเราเยอะๆ โจทย์ที่ตั้งยิ่งยากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสได้รับคะแนนศรัทธาในตัวเองเยอะขึ้นเท่านั้น แต่ประเด็นก็คือถ้าคุณตั้งโจทย์ขึ้นมา แล้วทะลึ่งทำไม่ได้ โอกาสที่คุณจะสูญเสียทั้งศรัทธาและความเชื่อมั่นจะมีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โจทย์ง่ายเวลาทำสำเร็จได้คะแนนน้อย แต่เวลาล้มเหลวเสียคะแนนเยอะ ถ้าคุณเป็นคนประเภทฉันทำไม่ได้ แล้วบังเอิญตั้งกฏขึ้นมาแล้วทำไม่ได้ ความมั่นใจและศรัทธาในตัวเองของคุณจะลดต่ำติดดินยิ่งกว่าเดิมอีก นี่แหละผมถึงเรียกว่าการเดิมพันไงหละ

การสร้างศรัทธาในตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันต้องอาศัยความใจถึง ผมรับประกันว่าใครใช้วิธีผม จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตตัวเองตั้งแต่ 7 วันเท่านั้น…!!! ผมขอเอาหัวของผมเป็นประกัน วิธีนี้ผมลองแล้วเวิร์ค 100% แต่กรุณาอย่าลืม ถ้าคุณตั้งกฏและทำไม่ได้ แล้วคุณสูญเสียความมั่นใจยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งอาจจะทำให้ศรัทธาคุณกร่อนลงยิ่งกว่าเดิมก็เป็นได้ ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ก็เป็นความผิดของคุณ ไม่ใช่ความผิดของผม ดังนั้นอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง อยากรับใช้ความฝันของตัวเอง หยุดเอาความกลัวมาเป็นอุปสรรค แล้วรีบเอาวิธีนี้ไปใช้ซะ มันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ศรัทธาในตัวเอง”

อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ไม่มีไอเดีย โอกาสมาแล้วครับ อย่าลืม ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือศิลปินที่กล้าออกแบบชีวิตตัวเอง สู้ๆ

ทุนเรียนต่อเมืองนอก

E-Book แนะนำ รองรับโทรศัพท์มือถือ


กรอกข้อมูลเพื่อรับสิทธิพิเศษ