วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

ผู้นำกับชัยชนะ


วันนี้จะขอแบ่งปันในเรื่องราว  ผู้นำกับชัยชนะ ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า ชัยชนะนั้นมีหลายนิยาม  มีตั้งแต่ชัยชนะที่เอาตนเองเป็นที่ตั้งโดยไม่สนใจกฎกติกามารยาท  ไปจนถึงชัยชนะที่คำนึงถึงผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนต่อผู้อื่น  ต่อองค์กรและต่อสังคมส่วนรวม  ในที่นี้  ผมจะเน้นผู้นำกับการสร้างชัยขนะในแบบที่สร้างสรรค์  เชิญติดตามได้เลยครับ

     สี่คุณสมบัติสำคัญของผู้นำผู้ชนะ

         1.ผู้นำผู้ชนะต้องเป็นคนที่มีความคิด

                 การจะเป็นผู้นำผู้ชนะได้  ต้องเริ่มต้นจากระบบคิดก่อน  ซึ่งต้องเป็นระบบคิดที่มององค์รวมเป็นหลัก  ไม่ใช่คนที่เริ่มต้นคิดว่า  ทำอะไรหรือไม่ทำอะไรเพื่อให้ตนเองได้อะไร  แต่จะคิดเสมอว่าสิ่งที่จะทำ ส่งผลกระทบกับใครบ้าง  และจะมุ่งความคิดไปในทิศทางที่เกิดผลดีขึ้นต่อทุกๆฝ่ายที่อยู่ในห่วงโซ่เดียวกัน  นอกจากนั้น  ยังต้องเป็นผู้มีความคิดที่มองเห็นจุดหมายปลายทางอย่างมีวิสัยทัศน์   มีความคิดในเชิงการกำหนดทิศทาง  ในเชิงการวางแผนและเชิง การวิเคราะห์ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ในสภาวะการณ์ต่างๆ  หากผู้นำเป็นคนที่มีความคิดเป็นพื้นฐาน  ก็ถือว่ามีคุณสมบัติหนึ่งในสี่ที่จะสร้างชัยชนะได้

      2. ผู้นำผู้ชนะต้องเป็นคนมีค่านิยมที่ถูกต้อง

             ค่านิยมในตัวผู้นำ  เป็นสิ่งที่กำกับการตัดสินใจทำหรือไม่ทำในเรื่องต่างๆ  หากผู้นำมีค่านิยมที่ผิดๆ  ก็มีโอกาสสูงที่จะเลือกทำในสิ่งที่ผิดได้  ดังนั้น  ผู้นำที่จะสามารถสร้างชัยชนะที่ยั่งยืน  จึงต้องมีค่านิยมในเชิงส่งเสริมความยั่งยืน  อันได้แก่ ค่านิยมในการเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ค่านิยมในการเคารพกติกาสังคม  ค่านิยมในการทำงานเป็นทีม ค่านิยมในการเคารพและปฏิบัติตามกฎจรรยาบรรณ  ค่านิยมแห่งการเรียนรู้พัฒนาตนเอง  ค่านิยมแห่งการสร้างความสำเร็จ  ค่านิยมแห่งการทำให้ดีกว่าเดิมเสมอ  ค่านิยมแห่งการมุ่งมั่นทุ่มเทและค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์และไว้วางใจได้  เป็นต้น

3.ผู้นำผู้ชนะต้องเป็นคนมีพลัง

           สภาวะอารมณ์เป็นตัวกำกับสำคัญในการใช้ความรู้ความสามารถของตัวผู้นำและคนอื่นๆ   ดังนั้น  ผู้นำที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโต  จึงจำเป็นต้องเป็นคนที่อยู่ในสภาวะอารมณ์เปี่ยมพลัง  พร้อมๆกับเป็นคนที่จุดประกายพลังให้แก่ผู้อื่นได้ด้วย  เมื่อผู้นำมีพลังและจุดประกายพลังให้ผู้อื่น  ก็จะทำให้องค์กรนั้นเป็นองค์กรเปี่ยมพลัง  มีบรรยากาศที่ดี  คนในองค์กรก็จะสามารถสร้างผลงานได้ดีขึ้น

4.ผู้นำผู้ชนะต้องมีความกล้าหาญ

       การนำพาองค์กรไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืนนั้น  ผู้นำต้องกล้าทำในสิ่งที่ต้องทำ  บางครั้งต้องให้ใครบางคนออกจากองค์กรเพื่อให้องค์กรไปต่อในระยะยาวได้  ต้องกล้าที่จะพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหา  ต้องกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขาอาจยังมองไม่เห็น และต้องกล้าที่จะยอมรับความจริงเพื่อการปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

        อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง  เกิดความมั่นใจมากขึ้นในการยกระดับตนเองเพื่อเป็นผู้นำผู้ชนะหรือยังครับ   ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าคุณตั้งใจและเอาจริงในการพัฒนาให้ตัวคุณเป็นผู้นำผู้ชนะ  คุณสามารถเป็นได้อย่างแน่นอน  ขอให้มีพลังในการสร้างและขับเคลื่อนผู้คน  ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เส้นชัยแห่งเดือนและปีครับ


วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

วิธีบริหารสมองและจิตใจให้แจ่มใสและเตรียมพร้อมสำหรับท­­­ุกวัน



 เรียนรู้วิธีบริหารสมองและจิตใจให้แจ่มใสและเตรียมพร้อมสำหรับท­­­ุกวัน เพื่ออารมณ์ที่สดใสและสมองที่ปลอดโปร่ง

          รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้ว การที่จะมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรงและแจ่มใสนั้น ไม่ใช่เพราะการออกกำลังกายทางร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการบริหารจิตอีกด้วย ซึ่งวิธีการบริหารจิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่างเช่นที่ นพ.สุรเกียรติ อาซานานุภาพ ได้เปิดเผยเอาไว้ในหนังสือหมอชาวบ้านครับ ขอบอกเลยว่าแต่ละวิธี ง่ายและดีต่อสุขภาพกายใจสุด ๆ เลย

          การบริหารจิตมีผลต่อสุขภาพกาย สมอง และจิตใจพอ ๆ กับการบริหารกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลต่อการพัฒนาสมองด้วยการกระตุ้นให้เกิดการ­­­งอกใหม่และการปรับวงจรใหม่ของเซลล์สมอง ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาจิตใจให้สมบูรณ์ และมีความสุขสงบเย็นอีกต่อหนึ่ง

การบริหารจิตควรทำให้เป็นกิจวัตรในชีวิตประจำวัน ซึ่งพอรวบรวมไว้ 10 วิธี ดังนี้

1. ออกกำลังกาย

          เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก ฝึกชี่กง รำมวยจีน (ไท่เก๊ก) ฝึกโยคะ เป็นต้น ในการออกกำลังกายสามารถบริหารจิตไปในตัว โดยการใช้สติระลึกรู้อยู่กับจังหวะการเคลื่อนไหว ในช่วงแรกอาจใช้วิธีนับ (เช่น นับซ้าย-ขวา นับ 1-2 หรือ 1 ถึง 10 กับจังหวะก้าว) เป็นตัวช่วย จนสติมั่น ก็ไม่ต้องนับ

2. นอนหลับให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง

          การนอนหลับดีมีผลต่อการพัฒนาสมอง หลีกเลี่ยงการอดนอนและการมีอารมณ์เครียดติดต่อกันนาน ๆ เพราะมีผลลบต่อร่างกาย สมองและจิตใจ

3. บริโภคอาหารสุขภาพตามหลักธงโภชนาการ

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดหวาน มัน เค็ม หันมากินปลา กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ ไขมันโอเมก้า 3 ในปลา (เช่น ปลาดุก ปลาซ่อน) มีผลดีต่อการสร้างเซลล์สมองใหม่ และหลีกเลี่ยงการบริโภคสุรา ยาสูบ และสารเสพติด

4. หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

          โดยการอ่าน การฟัง การค้นคว้า การหาประสบการณ์ใหม่ ๆ การคิดใคร่ครวญ การถาม การบันทึกตามหลัก "สุ. จิ. ปุ. ลิ." ควบคู่กับการฝึกใช้ความคิดเป็นประจำ เช่น การฝึกแก้ปัญหา การเล่นไพ่ การเล่นเกมต่าง ๆ

5. ฝึกสมาธิ

          เช่น ฝึกอานาปานสติ สวดมนต์ ไหว้พระ เดินจงกรม ทำละหมาด อธิษฐานจิตวันละอย่างน้อย 1-2 ครั้ง นานครั้งละ 5-10 นาที ช่วยให้จิตใจมั่นคงสงบนิ่ง ไม่วอกแวก ฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ หรือใจลอยง่าย ควรรักษาจิตที่นั่งแต่ตื่นรู้ไว้ตลอดเวลาของการปฏิบัติสมาธิ อย่าให้นานจนหลับหรือเข้าสู่ภวังค์ จะทำให้จิตเฉื่อยเนือย นำมาใช้งานในการรับรู้สิ่งเร้าอย่างรู้เท่าทันไม่ได้ ซึ่งต่างจากสติ

6. เจริญสติ-รู้ตัวกับอิริยาบถและกิจกรรมต่าง ๆ

          เช่น ระลึกรู้ตัวอยู่กับการนั่ง นอน ยืน เดิน การเคลื่อนไหวจังหวะขณะออกกำลังกายต่าง ๆ การทำกิจวัตรประจำวัน เช่น แปรงฟัน อาบน้ำ ดื่มน้ำ กินอาหาร เคี้ยวข้าว ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ให้มีความตื่นรู้อยู่กับปัจจุบันขณะ

          เมื่อจิตอยู่กับปัจจุบัน ก็จะสงบเย็น มีความสุข มีประสิทธิภาพในการทำกิจที่อยู่ตรงหน้า ไม่หวนคิดเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต หรือคิดกลัวกังวลกับเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์ เครียด สูญเสียพลังสมองโดยเปล่าประโยชน์

7.ฝึกใช้ลมหายใจเป็นระฆังแห่งสติ

          เราสามารถตามรู้ลมหายใจเข้า-ออกในการทำอานาปานสติ ในการเจริญสติต่าง ๆ และอาจเสริมด้วยการตามรู้ลมหายใจเข้าออกที่เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องปรุงแต่งลมหายใจให้ยาวให้ลึกกว่าปกติ เพียง 1-3 รอบ โดยเข้ากับออก 1 ครั้งเท่ากับ 1 รอบ โดยไม่ต้องหลับตา หรือบริกรรมแบบการทำสมาธิ

          ควรทำให้บ่อย ๆ เท่าที่รู้สึกตัวตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน ทำจนเป็นนิสัย ต่อไปก็สามารถใช้ลมหายใจเพียง 1 รอบเป็นระฆังเตือนสติก่อนทำกิจกรรมต่าง ๆ เรียกว่า "ตั้งสติก่อนสตาร์ท" หรือเวลามีอารมณ์เครียดเกิดขึ้น ก็สามารถใช้ลมหายใจเตือนตัวเองให้เกิดสติรู้ตัว และควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นให้ระงับบรรเทาหายไปได้ทันที

8. ฝึกพักใจและสมองเป็นระยะ ๆ ในแต่ละวัน

          เช่น หยุดคิด โดยหันมาชื่นชมธรรมชาติ หรือศิลปะ นานครั้งละ ½ ถึง 1 นาที, ตามดูห้วงว่างระหว่างความคิด ลมหายใจเข้าออกและเสียงต่าง ๆ, หามุมสงบในบ้าน ในที่ทำงาน หรือในสวน นั่งปล่อยวางอารมณ์อย่างเงียบ ๆ หรือตามรู้ลมหายใจประกอบ นาน 5-10 นาที เป็นต้น การพักใจและสมอง ช่วยให้มีพลังในการทำงานได้ไม่เหนื่อยล้า
9. เจริญปัญญาจากการสังเกตธรรมชาติของสรรพสิ่ง

          ว่าล้วนเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยมากมายที่มีการแปรเปลี่ยน ไม่คงที่ตลอดเวลา จนเห็นด้วยปัญญาตนว่า "ทุกสิ่งล้วนมีการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" เป็นธรรมดา ไม่ควรยืดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น ควรใช้ปัญญามองทุกสิ่งตามความเป็นจริงตามเหตุปัจจัย เงื่อนไข หรือบริบทในขณะนั้น แล้วจัดความสัมพันธ์หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัย เงื่อนไข หรือบริบทนั้น ๆ ก็จะเกิดความราบรื่น กลมกลืนประสบผลดี ไม่ทุกข์ ไม่เครียดและเป็นสุข

10. ฝึกคิดดี-พูดดี-ทำดี ให้เป็นนิสัย

          ช่วยถ่วงดุลกับธรรมชาติของจิตที่มักคิดลบซึ่งเป็นไปตามกลไกลมอง­ที่มักถูกครอบงำด้วยความมีอัตตาตัวตน นิสัยความเคยชินเดิม และอารมณ์ลบ

          นอกจากนี้ควรหมั่นมีจิตอาสาทำงานเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแ­­­ทนช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น, ฝึกฟังคนอื่น และเข้าใจคนอื่น, รู้จักใช้ปิยวาจา รวมทั้งรู้จักพูดชื่นชม ให้กำลังใจผู้คนรอบข้าง, ฝึกตามดูรู้ทันความคิด อารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ซึ่งจะช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดี

          หมั่นมองตน ทบทวนตัวเองทุกวัน วันละหลายครั้ง หรือหลังเสร็จจากการทำกิจต่าง ๆ มองให้เห็นจุดแข็ง (เพื่อให้กำลังใจตัวเอง) และจุดอ่อน (เพื่อการปรับเปลี่ยนและพัฒนาตน), หมั่นนึกขอบคุณผู้คนและสิ่งต่าง ๆ (ทั้งสิ่งมีชีวิตและมีชีวิตและไม่มีชีวิต) ที่เกื้อหนุนให้ชีวิตเราปลอดภัยและเติบโตมาด้วยดี ทั้งหมดนี้เพื่อฝึกการรู้ตนควบคุมตน และลดละอัตตาตัวตนครับ

ประโยชน์และวิธีเปลี่ยนนิสัยให้เป็นคนคิดบวก



คนคิดบวกในที่นี้หมายถึงคนที่มองโลกอย่างเป็นกลางไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีก็ได้ แต่ก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าคนที่มีนิสัยอย่างนี้เป็นพวกโลกสวยเชียวล่ะ เพราะพวกเขามีดีมากกว่านั้นอีก
             
          หากพูดถึงการเป็นคนคิดบวก ส่วนใหญ่คงนึกถึงอุปนิสัยมองโลกในแง่ดี มีทัศนคติที่เปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และแน่นอนว่าคงไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่าเป็นคนคิดบวก แต่ถ้าหากเรามาลองสำรวจตัวเองกันเล่น ๆ จาก 10 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกที่เรานำมาฝากนี้ อาจทำให้เราค้นพบความจริงว่าตัวเราก็เป็นคนคิดบวกนะ เพียงแต่ไม่เคยรู้มาก่อน

การคิดบวกคืออะไร
         
          จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาบุคลิกภาพและสังคมของสหรัฐอเมริกาเผยว่า การคิดบวกเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ตัวเองมีความสุข โดยที่การคิดบวกนั้นไม่ใช่การคิดหาคำตอบว่าอะไรถูกหรือผิด แต่เป็นการคิดเพื่อให้เราได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังเป็นไป หลายคนเข้าใจว่าการคิดบวกต้องอาศัยหลักการทางจิตวิทยาเข้าช่วย แต่ความจริงแล้วตัวเราเองก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนคิดบวกได้ตลอดเวลา

8 สิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราคิดบวก

          เป็นที่รู้กันดีว่าการคิดบวกคือการทำให้ตัวเองมีความสุข แต่ความจริงแล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจอีกด้วยนะ โดยเฉพาะสิ่งดี ๆ ต่อไปนี้ที่จะเกิดขึ้นกับเราแน่นอนเมื่อเปลี่ยนตัวเองให้คนคิดบวก

เราจะมีระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ
             
          การคิดบวกจะทำให้เรารู้สึกอยากทำในสิ่งดี ๆ เช่น กินอาหารสุขภาพ ออกกำลังกาย และไม่เครียด ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตของเราทำงานเป็นปกติ ไม่เสี่ยงเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด เช่น หัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง  และโรคความดันโลหิตสูง

เราจะมีไขมันดีมากกว่าไขมันเลวในร่างกาย
             
          ผลการทดสอบของมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดในปี 2013 ที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร The American Journal of Cardiology  เผยว่าการคิดบวกช่วยเพิ่มระดับไขมันดีในร่างกายได้ เห็นได้จากการทดสอบกับกลุ่มอาสาสมัครวัยกลางคน อายุระหว่าง 40-70 ปี ประมาณ 990 คน ที่ทำแบบทดสอบความสุขจากพฤติกรรมประจำวัน ผลคือ อาสาสมัครส่วนใหญ่มีความสุขในชีวิตประจำวันของตัวเองดี เมื่อตรวจร่างกายพบว่ามีระดับไขมันดีสูงกว่าไขมันเลว สาเหตุเป็นเพราะคนที่มีความสุขดีในชีวิตมักจะเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าคนที่มีความเครียด

เราจะมีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรงขึ้น
         
          การคิดบวกเป็นการกระตุ้นให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานเป็นปกติ เกิดการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงการนำไปใช้เผาผลาญเป็นพลังงานที่ส่งผลให้เราแข็งแรงขึ้น เห็นได้จากคนที่ร่าเริง แจ่มใสมักไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย

เราจะมีสุขภาพกายและใจที่สมดุล
           
          ผลการวิจัยส่วนใหญ่เผยว่า คนที่มองโลกในแง่ดีมักมีสุขภาพกายและใจดีตามไปด้วย เพราะพวกเขามีเคล็ดลับอยู่เพียงสิ่งเดียวคือ การทำตัวเองให้มีความสุขด้วยการหากิจกรรมทำไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ว่าง ๆ  เช่น ออกกำลังกาย การปลูกดอกไม้ การสนทนากับเพื่อนบ้าน ออกกำลังกาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย เพราะเมื่อสุขภาพจิตดี ร่างกายก็แข็งแรงตามไม่ด้วย ไม่เจ็บป่วยง่าย และก็ไม่ต้องกินยาใด ๆ

เราจะกลายเป็นคนไม่ค่อยเครียดกับอะไรง่าย ๆ
         
          คนที่มองโลกในแง่ดีเมื่อมีปัญหามักจะรับมือได้ดีกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย ส่วนหนึ่งมาจากการที่พวกเขาเชื่อว่าทุกสิ่งจะดีขึ้นได้ เดี๋ยวก็จะผ่านไป ทำให้พวกเขาแก้ปัญหาด้วยความใจเย็นมากกว่า

เราจะกลายเป็นคนร่าเริง แจ่มใสน่าเข้าใกล้
             
          การมองโลกในแง่ดีช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเราให้กลายเป็นคนนิสัยน่ารักมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราจะมีทัศนคติที่เปิดกว้างรับฟังคนอื่น ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด ดูเป็นคนอารมณ์ดี ทำให้ใคร ๆ ก็มองว่าเรานิสัยดีน่าเข้ามาทำความรู้จัก

เราจะรับมือได้หมดทุกปัญหา
             
          การมองโลกในแง่ดีจะทำให้เรามีสติในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล  จากผลการวิจัยเผยว่าการมองโลกในแง่ดีทำให้เราไม่รีบร้อนตัดสินเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้า เราจะไม่คิดฟุ้งซ่านเติมแต่งปัญหาให้ใหญ่โตขึ้น และเราจะมีสติมองออกว่าแก่นแท้ของปัญหานั้นอยู่ตรงไหน ทำให้เราสามารถค้นพบทางออกของปัญหาได้อย่างง่ายดาย

เราจะมีอายุยืน

          ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยลอนดอนได้ทำการทดสอบเรื่องการคิดบวกสัมพันธ์กับการมีอายุยืนอย่างไร โดยได้ทำทดสอบกับกลุ่มอาสาสมัครที่มีอายุยืนเกินร้อยปีขึ้นไปประมาณ 243 คน ด้วยการให้ทำแบบสอบถามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ผลปรากฏตรงกันว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่มักมีไลฟ์สไตล์ชอบท่องเที่ยว ชอบเดินทางไปเปิดหูเปิดตาต่างถิ่น พวกเขาเชื่อว่าการเดินทางทำให้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ได้พบเห็นโลกในมุมที่กว้างขึ้น ปล่อยวางอะไรได้มากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนคิดบวกขึ้นนั่นเอง

พลังแห่งการคิดบวกบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้

          จากผลการวิจัยในปี 1990 เผยว่าคนที่มองโลกในแง่ร้ายมักจะมีอาการป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ สาเหตุหลักมาจากการที่สุขภาพจิตใจอ่อนแอ ดังนั้นใครที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังไม่ยอมหายสักที ลองมาเช็กตัวเองว่าอาการป่วยที่มักเกิดบ่อย ๆ นั้น ติดอันดับ 1 ใน 15 อาการป่วยที่มาจากการคิดติดลบหรือเปล่า ถ้าใช่ รีบปรับทัศนคติตัวเองเสียใหม่ด่วนเลยนะจ๊ะ

  1.  มีอาการกล้ามเนื้อตึง เส้นยึดบ่อย
  2. มีอาการปวดกล้ามเนื้อโดยไม่ทราบสาเหตุ
  3. มักจะปวดหัวบ่อย
  4. มีอาการเจ็บหน้าอกโดยไม่ทราบสาเหตุ
  5. สมรรถภาพทางเพศลดลง
  6. นอนไม่หลับ และมีปัญหาเรื่องการนอนหลับในตอนกลางคืน
  7. มีอาการของระบบย่อยอาหารไม่ปกติ เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นต้น
  8. อ่อนเพลียง่าย
  9. อารมณ์แปรปรวน
  10. มีความรู้สึกกังวล หดหู่ และเศร้าซึมบ่อย
  11. รู้สึกว้าวุ่นใจเหมือนมีเรื่องที่ยังคิดไม่ตก
  12. โกรธง่าย ฉุนเฉียวบ่อย
  13. รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากเข้าสังคม อยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
  14. พฤติกรรมการกินไม่เป็นปกติ เช่น กินน้อยกว่าปกติ หรือกินจุกว่าปกติ
  15. โมโหร้ายกว่าปกติ เช่น สบถคำหยาบออกมาบ่อย ๆ ทำร้ายผู้อื่น


10 วิธีง่าย ๆ ฝึกตัวเองให้เป็นคนคิดบวก

          เมื่อได้ทราบถึงข้อดีของการคิดบวกแล้ว ลองมาดูกันหน่อยดีไหมว่าจะเริ่มเป็นคนคิดบวกได้อย่างไร จากคำแนะนำของผลการวิจัยเรื่องการเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวก ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Psychology เมื่อปี 2006 ที่เผยว่า คนบนโลกนี้มีอยู่สองประเภทใหญ่ ๆ คือ พวกที่คิดมาก กับพวกที่ไม่ค่อยคิดอะไร ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนักวิจัยได้ลองวิเคราะห์นิสัยของคนทั้งสองกลุ่มแล้วกลับค้นพบว่าพวกเขามีวิธีจัดการอารมณ์ด้านลบที่คล้าย ๆ กัน นั่นคือ หาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น ดังนั้นเรามาลองเรียนรู้วิธีเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกจากกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้กันดู ว่ามีวิธีไหนที่เราสามารถทำตามได้บ้าง

1. ไม่ทำตัวโลกสวยเกินไป
             
          การคิดบวกและการมองโลกในแง่ดีในที่นี้ไม่หมายความว่าให้เราทำตัวโลกสวย มองอะไรโรยด้วยกลีบกุหลาบไปทุกอย่าง แต่เป็นการปรับมุมมองของเรา อะไรที่คิดติดลบมากเกินไปก็ปรับให้เป็นกลางขึ้นหน่อย  และอะไรที่คิดบวกมากเกินไปก็ปรับให้พอดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีคนเข้ามาจีบ เราก็อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีว่าเขาเป็นคนดี จริงใจกับเรา ให้เผื่อใจเอาไว้บ้าง เป็นต้น

2. ไม่ตัดสินอะไรง่าย ๆ เพียงแค่ตาเห็น
             
          การเริ่มต้นคิดบวกควรมาจากความคิดที่เป็นกลาง ดังนั้นเวลาที่เห็นอะไรไม่ถูกใจ ก็อย่าเพิ่งเหมารวมไม่ว่ามันไม่ดี ให้เข้าใจไปตามสิ่งที่เห็นอย่าใส่ความรู้สึกส่วนตัว อย่าลืมว่าการคิดบวกไม่มีถูกผิดนะจ๊ะ

3. ผูกมิตรกับเพื่อนที่นิสัยร่าเริง คิดบวกเข้าไว้

          ความรู้สึกที่ดี จะนำมาซึ่งความคิดดี ๆ ดังนั้นควรมองหามิตรแท้ที่นิสัยร่าเริงแจ่มใสไว้สักคน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดด้านดี หากอยู่กับคนซีเรียส จริงจังกับชีวิตมากไป เราก็คิดบวกไม่ได้สักที จากผลการวิจัยส่วนใหญ่เผยว่า ความเครียดเป็นอารมณ์ติดต่อจากอีกคนหนึ่งได้ โดยที่ตัวเรามักไม่รู้ตัวเลยว่าทัศนคติของตัวเองจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด จนกระทั่งพฤติกรรมแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่านิสัยเปลี่ยนไป ดังนั้นหากอยากเริ่มเป็นคนคิดบวก ก็ให้เดินเข้าไปผูกมิตรกับคนที่มองโลกในแง่ดี เพราะคนเหล่านั้นจะมีมุมมองความคิดที่เปิดกว้างกว่าพวกซีเรียส จริงจังกับชีวิต

4. หมั่นคุยกับตัวเอง

          คนที่คิดบวกมักจะคุยกับตัวเองอยู่เสมอ ในที่นี้หมายถึงการพิจารณาตัวเองว่ามีด้านลบกับเรื่องอะไร แล้วในแต่ละวันรู้สึกแย่อะไรบ้าง เมื่อเขาเรียงลำดับความคิดด้านลบได้ ก็จะทำการเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ บอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ต้องมองโลกในแง่ดีมากขึ้นกว่าเดิม และฝึกพูดประโยคเชิงบวก เช่น ฉันสามารถเรียนรู้ได้ ฉันจะต้องลองทำดูก่อน หรือ ฉันคิดว่าปัญหานี้ต้องมีทางออก เป็นต้น

5. เขียนถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

          เป็นวิธีที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากขึ้น เพียงแค่สละเวลา 5 นาทีก่อนนอน ทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด แล้วเขียนบันทึกลงไปสั้น ๆ เช่น วันนี้จับฉลากปีใหม่ได้ของที่อยากได้อยู่พอดี เป็นต้น จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Research in Personality เผยว่า การเขียนบันทึกส่งผลดีต่อสุขภาพของเรา โดยเฉพาะการบันทึกประสบการณ์ที่ดี ๆ เพราะเมื่อไรที่เราเขียนบันทึกเรื่องราวลงบนหน้ากระดาษได้ ก็แสดงว่าสมองของเรามีการจดจำแต่สิ่งที่ดี ๆ แล้วยิ่งถ้าจดบันทึกเป็นประจำทุกวัน สมองของเราก็จะเก็บเกี่ยวเรื่องราวดี ๆ เอาไว้เพื่อมาเขียนบันทึกโดยอัตโนมัติเลยล่ะ

6. หัวเราะ
         
          หลายคนไม่เคยสังเกตตัวเองว่าวันหนึ่ง ๆ หัวเราะมากน้อยเท่าไร ทั้งที่ความจริงแล้วการหัวเราะเป็นสิ่งที่สะท้อนอารมณ์ได้ดีว่ากำลังมีความสุขอยู่หรือไม่ อีกทั้งยังเป็นการปรับอารมณ์ด้านลบให้ดีขึ้นด้วย  ดังนั้น ถ้าหากงานเครียดมากทั้งวัน ลองสละเวลาสัก 20 นาทีให้กับสิ่งบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น หนังตลก หนังสือการ์ตูน พูดคุยกับเพื่อนสนิท วาดภาพ ร้องเพลง เป็นต้น หากทำให้ได้ทุกวันแบบนี้รับรองว่าความเครียดไม่สะสมอยู่ในจิตใจแน่นอน

7. นั่งสมาธิ
         
          ผลการวิจัยล่าสุดเผยว่า คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันมีแนวโน้มเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากกว่าคนที่ไม่เคยนั่งเลย ส่วนหนึ่งมาจากประโยชน์ของการนั่งสมาธินั่นเอง เพราะการนั่งสมาธิเป็นการฝึกจิตใจให้ปล่อยวางความคิด ฝึกสมองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน เราก็จะรู้ทันอารมณ์ของตัวเองว่ากำลังสุขหรือทุกข์ และถ้านั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันร่างกายและจิตใจของเราก็จะไม่เก็บอารมณ์แย่ ๆ หรือเรื่องราวไม่ดีมาจำฝังใจ ผลคือเรามีความสุข จิตใจแจ่มใส นั่นเอง ดังนั้นลองทำดูนะคะ สละเวลาวันละ 5-10 นาทีก็ยังดี ใครที่ไม่ถนัดการนั่งสมาธิก็ใช้วิธีทำโยคะก็ได้

8. เปลี่ยนนิสัยเป็นคนยืดหยุ่น ออมชอมกับผู้อื่นให้มากขึ้น

          การจะเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกได้ ส่วนหนึ่งต้องเริ่มมาจากตัวเองเสียก่อน คือ เปลี่ยนความคิดที่ทุกอย่างต้องเป๊ะ มาเป็นคิดยืดหยุ่นบ้าง เพราะความคาดหวังคือสิ่งอาจทำให้เราเสียใจ มองโลกในแง่ร้ายขึ้นมาได้ ดังนั้นลองฝึกให้ตัวเองมีความคิดที่ยืดหยุ่นบ้าง จะได้ไม่รู้สึกเครียดว่าอะไร ๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจ

9. อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด

          ความกลัวก็เป็นอุปสรรคที่ทำให้เรามองโลกในแง่ดีไม่ได้ เพราะสมองยังยึดติดอยู่กับความรู้สึกที่ว่า “กลัวว่าจะ…” ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่เกิดตามที่เราคิดก็ได้ ดังนั้นเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้ปล่อยวางกับเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

10. ฝึกตัวเองให้ยิ้มง่ายขึ้น

          การยิ้มเป็นสิ่งพื้นฐานที่ช่วยให้ตัวเราเองรู้สึกมีความสุข ดังนั้นไม่ว่าจะมีเรื่องที่ทำให้ยิ้มไม่ออกก็ตาม ยังไงก็ขอให้ยิ้มแย้มเอาไว้ก่อน แทนที่จะระบายด้วยการปล่อยคำพูดแย่ ๆ ออกมา

          เห็นไหมละคะว่าพลังของการคิดบวกน่ะสุดยอดแค่ไหนสามารถทำให้สุขภาพกายและใจของเราแข็งแรงอยู่เสมอ  แต่ถึงแม้ว่าวันคิดบวกโลกจะผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อ 13 กันยายนที่ผ่านมานี้ เราก็ยังสามารถทำทุก ๆ วันให้เป็นวันคิดบวกได้ แค่ลองเปิดใจให้กว้างใส่ใจกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น เพียงเท่านี้ก็เราก็มีความสุขในทุก ๆ วันแล้ว

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

มูลค่าชีวิต

     ขอบคุณ vittarot.com

  บนโลกนี้มีแต่เรื่องที่ทำให้สับสน ระบบการศึกษาสอนให้เราเรียนเพื่อหางานดีๆเงินดีๆทำ พอเข้าทำงานก็มีคนสอนอีกว่าทำงานอย่าเกี่ยงเงิน บางคนบอกให้เดินตามความฝันอย่าทำเพื่อเงิน แต่ถ้าไม่มีเงินชีวิตก็เดือดร้อน ผู้ให้แรงบันดาลใจส่วนใหญ่บอกว่าให้ทำงานให้หนักโดนไม่ต้องแคร์เรื่องเงิน แต่ถ้าเขาจ้างให้มาพูดโดยให้เงิน 200 บาทพูดทั้งวันพวกเขาเหล่านั้นจะเอาไหม

      ตกลงแล้วเงินมันสำคัญหรือไม่สำคัญกันแน่ ผมฟันธงให้ว่าสำคัญโครตๆ อย่างน้อยคุณก็ต้องใช้มันเพื่ออาหาร 3 มื้อ อย่างน้อยถ้าพ่อแม่คุณป่วยคุณก็มั่นใจว่าคุณจะมีเงินมากพอที่จะขาดงานไปเป็นเดือนเพื่อดูแลท่าน อย่างน้อยคุณก็สามารถพาแฟนไปฮันนีมูนได้แล้วกัน แน่นอนประโยคคลาสสิก เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างบนโลก อย่างน้อยก็ความรัก คำตอบคือถูกต้อง ความรักเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อได้ แต่ยอมรับเถอะว่านอกจากความดีแล้ว ความมั่นคงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของคุณสมบัติของความรักเช่นกัน อย่างน้อยคุณก็คงไม่อยากให้แฟนของคุณต้องลำบากกัดก้อนเกลือเพราะคุณใช่มั้ย อย่างน้อยคุณก็อยากทำสิ่งที่ดีที่สุดให้คนรักของคุณใช่มั้ย?

      น่าแปลก ประเทศเราใครพูดเรื่องเงินก็มักถูกมองเป็นคนโลภ บางครั้งคนที่กระหายอยากได้เงินเยอะๆจะถูกมองเป็นพวกมารศาสนาเพราะไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมี

มีคนบอกว่าทำงานอย่าคิดถึงเรื่องเงิน…?

  เวปไซต์ Pantip เป็นเว็บที่ผมมองว่ามันคือสุดยอดของ Webboard ในโลกแล้ว ในนั้นมีผู้คนหลากหลายมากๆ มีทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานะ ผมว่าสังคมของเราขับเคลื่อนไปด้วยพลังของ Pantip เพราะมันก่อให้เกิดกระแสสังคมใหญ่ๆนับครั้งไม่ถ้วน มีกระทู้หนึ่งผมจำได้ดี เป็นกระทู้ระบายความในใจของเจ้าของกิจการคนหนึ่งเกี่ยวกับการหาคน รายละเอียดคร่าวๆคือเจ้าของกิจการมาเขียนระบายความในใจว่าเด็กสมัยใหม่นี้ใช้ไม่ได้ ต้องการเงินเดือนแพงๆทั้งๆที่ไม่มีประสบการณ์ แถมยังเลือกงานอีก ได้คนมาก็อยู่ไม่ทน สรุปก็คือมาระบายความในใจเกี่ยวกับการหาลูกน้องนั่นแหละครับ เท่าที่ผมจับประเด็นแบบเบื้องหลังได้ ก็คือเขาอยากได้พนักงานด้วยค่าแรงที่เขาคิดว่าสมเหตุสมผลนั่นแหละ ปัญหาที่ผมเดาก็คือมันสมเหตุสมผลของใคร ของนายจ้างที่ต้องการใช้เงินให้น้อยที่สุด หรือของลูกจ้างที่บังเอิญมีงานที่เสนอเงินเดือนมากกว่าให้เขาเลือก

และเมื่อมีกระทู้ของนายจ้างแล้ว กระทู้ของลูกจ้างก็มีครับ ส่วนใหญ่ก็จะสอบถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบของสายงานจนไปถึงกระทั่งเรื่องของเงินเดือน ตรงเรื่องของเงินเดือนนี่แหละครับที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่ของคนที่เริ่มต้นหางานครั้งแรกในชีวิตมักจะตั้งกระทู้ถามว่าควรจะเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะอิงเรตราคาตามวุฒิการศึกษาที่มีอยู่ ปริญญาตรีมีค่าแรงต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ราวๆ 13,000 ถึง 17,000 บาท ส่วนปริญญาโทมีราวๆ 17,000 จนถึง 30,000 บาท ส่วนระดับด็อกเตอร์นั้นไม่ทราบจริงๆ และคำแนะนำจึงไม่ได้มีอะไรมากนอกเสียจากบอกระดับมาตรฐานเงินเดือนของสายอาชีพที่ถูกถามอย่างคร่าวๆเท่านั้น

และแน่นอนตามประสาของผู้คนร้อยพ่อพันแม่ คำตอบประเภทที่ว่าอย่าคิดถึงเรื่องเงินก็ต้องมีอย่างแน่นอน ไม่ใช่สิ มันมีทุกกระทู้ที่ถูกถามนั่นแหละ คำถามคือการทำงานโดยคิดถึงเรื่องเงินมันไม่สำคัญตรงไหน คนที่พูดคำนี้ได้ส่วนใหญ่เงินเดือนสูงๆแล้วทั้งนั้น เขาไม่เดือดร้อนนี่ครับเขาเลยพูดได้เต็มปาก ที่ผมบอกว่าการทำงานโดยเอาเงินมาเป็นตัวตั้งมันสำคัญก็เพราะว่าถ้าชีวิตคุณส่วนใหญ่ต้องเสียเวลาไปกับการทำให้คนอื่นรวยขึ้น สุขสบายขึ้น คุณก็ควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกมูลค่าหรือราคาของตัวเองตามที่พอใจ นายจ้างหรือ HR มีสิทธิ์ที่จะจ้างหรือไม่จ้างก็ได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อว่าหรือไม่พอใจในสิ่งที่คนเหล่านั้นเรียกร้อง คุณอาจจะโน้มน้าวใจให้เขาเห็นว่าค่าตัวของเขาแพงเกินราคาตลาดก็ได้ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อว่าความต้องการของเขา ดูถูกหรือตำหนิเขา อย่างน้อยขอให้คิดว่าบ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูๆที่นายจ้างที่มีขับก็มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของลูกจ้างเช่นกัน

ดังนั้นผมเชื่อว่ามูลค่าเป็นสิ่งที่เจ้าของชีวิตกำหนดให้กับชีวิตของเขาเอง จะแพงหรือถูกขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้างจะตัดสินใจ!

น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่มักยอมให้ตลาดกำหนดมูลค่าของชีวิตพวกเขาว่ามีเรตราคาเท่าไหร่…?

แล้วทุกคนรับได้เพราะนี่คือเรื่องที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกัน ทีนี้ลองมาดูสมการบางอย่างที่ผมอยากจะลองตั้งโจทย์ให้พวกคุณคิดดู นี่เป็นสมการสมมุติ เป็นโจทย์สมมุติที่ไม่อิงกับความเป็นจริงซักเท่าไหร่ แต่ขอร้องว่าคุณควรจะคิดตามให้ดีๆ เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องของเงินโดยตรง และเป็นการคำนวนที่บัดซบมากๆด้วย ผมขอถามคุณว่าคุณคิดว่าชีวิตของคุณมีมูลค่าหรือราคาต่อเดือนเท่าไหร่ เอาให้ชัดๆคือคุณคิดว่าคุณควรจะได้เงินเดือนเท่าไหร่อย่างนี้ก็ได้

ได้คำตอบแล้ว ทดไว้ในใจ


    นักศึกษาส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีที่อายุราวๆ 23 ปี สมมุติว่าพ่อแม่ของคุณต้องใช้เงินเพื่อดูแลคุณทั้งเรื่องค่าอาหาร การเดินทาง ค่าป่วยไข้ไม่สบาย ค่าของเล่น ค่าเรียน ค่ารายงาน ค่าทัศนะศึกษา ค่าสตาร์บั๊ค บลาๆๆ เฉลี่ยทั้งชีวิตตีเป็นเงินราวๆ 10,000 บาทต่อเดือน (ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่พ่อแม่เสียเงินมากกว่านั้น) เพื่อแลกกับความสุข ความรัก และหลักประกันชีวิตในอนาคตของลูก เท่ากับว่า 1 ปีคุณจะใช้เงินของพ่อแม่ราวๆ 120,000 บาท คุณใช้เวลา 23 ปีเพื่อจบการศึกษาก็จะเท่ากับ 120,000 บาท คุณด้วย 23 ปี จะเท่ากับพ่อแม่ให้คุณใช้เงินแล้ว 2,760,000 บาท ด้วยมูลค่าขนาดนี้พ่อแม่สามารถซื้อรถ Mercedes benz new c class c220 cdi executive ได้พอดีเลย นั่นคือถ้าเปรียบเทียบเป็นภาพแบบทุนนิยมสุดๆ คือมูลค่าของตัวคุณมีเท่ากับหรือมากกว่ารถราคา 2,760,000 บาทแน่นอน

และถ้าสมมุติว่าถ้าคุณมีเจ้ารถคันนี้มาในครอบครองจริงๆ ผมขอถามคุณว่าคุณจะยอมให้คนเช่ารถคันนี้ในราคาเท่าไหร่ สมมุติว่าคุณให้เช่าในราคาเดือนละ 15,000 บาท เดือนหนึ่งคุณปล่อยให้เช่า 20 วันคือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และให้เช่าแค่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเช่าเหมาทั้งเดือน นั่นเท่ากับว่ารถคันนี้จะต้องถูกขับเป็นเวลา 180 ชั่วโมงเต็มต่อเดือน เมื่อคุณให้เช่าในราคา 15,000 บาทต่อเดือน ก็เอาจำนวนค่าเช่ามาหารกับจำนวนชั่วโมงดู ก็จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 84 บาทต่อชั่วโมงเท่านั้น

คุณคิดว่าบนโลกในบี้ จะมีใครปล่อยรถ Mercedes benz new c class c220 cdi executive ให้เช่าด้วยเงินเพียง 84 บาทต่อชั่วโมงหรือไม่ นี่มันบ้าชัดๆ ใครให้เช่าสิ่งของมูลค่า 2,760,000 บาทด้วยราคาเพียง 84 บาทต่อชั่วโมง บ้าจริงๆ หรือถ้าคุณหัวการค้าขึ้นมาหน่อย คุณเพิ่มค่าเช่าให้เป็นเดือนละ 25,000 บาทไปเลย เมื่อเฉลี่ยเป็นเงินต่อชั่วโมงแล้วจะเท่ากับ 139 บาทต่อชั่วโมงแล้ว แต่ถ้ามาคิดดีๆถึงแม้จะเยอะกว่าเดือนละ 15,000 บาท แต่ราคามันก็ต่ำกว่าจะรับได้อยู่ดี

ทีนี้ผมขอถามคุณนะครับ คุณว่ามูลค่าของตัวคุณ กับมูลค่าของรถ Mercedes benz new c class c220 cdi executive เจ้าสิ่งไหนมีราคาที่แพงกว่ากัน เอาความเสียหายสูงสุดมาเปรียบเทียบ ถ้ารถเบ๊นซ์เกิดพังไป อย่างมากเจ้าของก็แค่ซื้อใหม่ สูญเงินซัก 2 ล้านกว่าบาทก็ไม่เห็นเสียหาย เผลอๆไม่ต้องเสียเพราะประกันชั้น 1 ดูแลให้เสร็จสรรพ อาจจะได้รุ่นทีดีกว่าเดิม เร็วกว่าเดิม เท่กว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ถ้าชีวิตคนทั้งคนของคุณตายไป มันไม่มีอะไรมาทดแทนได้นะครับ อย่างน้อยคนที่ร้องไห้กับการตายของคุณคนแรกต้องไม่ใช่นายจ้างแน่นอน ถ้าคุณบอกว่าไม่เป็นไร ตายไปก็เริ่มต้นใหม่ในชาติหน้า ผมก็ขอถามคุณว่าคุณเชื่อไหมหละ ว่าชาติหน้ามีจริง!

ถ้าคุณคิดว่าหมื่นห้า คุณก็จะได้หมื่นห้า
ถ้าคุณคิดว่าสองหมื่น คุณก็จะได้สองหมื่น
ถ้าคุณคิดว่าหนึ่งแสน คุณก็จะได้หนึ่งแสน
ถ้าคุณคิดว่าหนึ่งล้าน คุณก็จะได้หนึ่งล้าน


สรุปเรื่องความคิด

แต่ถ้าคุณไม่มีไอเดียว่าชีวิตของคุณมีราคาเท่าไหร่ ก็ลองถามคนที่รักคุณดูสิ
แล้วจะค้นพบว่าความจริง ชีวิตของคุณประเมินค่าไม่ได้สำหรับใครบางคน

ขอถามอีกครั้ง คุณคิดว่า  Mercedes benz new c class c220 cdi executive มูลค่า 2,760,000 บาท กับชีวิตคุณ สิ่งไหนแพงกว่ากัน…???
ขอถามอีกครั้ง คุณคิดว่ามูลค่าชีวิตของคุณเท่าไหร่???


วิธีสร้างศรัทธาให้ตนเอง

  ปัญหาของคนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง คิดอยากออกแบบชีวิตตัวเอง แต่ไม่กล้าที่จะทำตามความฝัน อุปสรรคแรกและอุปสรรคเดียวที่ขวางระหว่างชีวิตกับการใช้ชีวิตคือขาดความ “เชื่อมั่น” หนักๆสุดคือการขาด “ศรัทธาในตัวเอง” ถ้าใครก็ตามที่ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นว่าแย่แล้ว แต่ถ้าไม่มีทั้งสองอย่างนี้ หมดสิทธิ์หวังว่าจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้แน่นอน


- อยากลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจของตัวเอง
- อยากกอดเงินแสนแรกในชีวิตให้สำเร็จ
- อยากประสบความสำเร็จในอาชีพเสริม
- อยากเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือน
- อยากมีความรักที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จ
- อยากออกแบบชีวิตตัวเอง แต่เหตุผลเดิมๆ กลัว
- บลาๆๆ หลายอยาก (อีกหลายข้อ)

อะไรนะ อยากทำทั้งหมดอย่างที่เขียนมา แต่ไม่มีความเชื่อมั่นงั้นเหรอ…ไม่ศรัทธาในตัวเองเหรอ ถ้าอย่างนั้น หยุดฝันเลย ไม่มีทางทำได้หรอก ผมฟันธง โลกมันโหดร้ายแบบนั้นแหละ ขาดความเชื่อมั่นและขาดความศรัทธาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งชีวิตก็จบแล้ว จบตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ

แต่ผมขอรับประกัน ใครที่ขาดความเชื่อมั่น ขาดความศรัทธาในตัวเอง รู้สึกชีวิตตัวเองไม่ได้เรื่อง ก้าวหน้าไปกว่านี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าชีวิตจะออกหัวหรือก้อย และทนอยู่กับสภาวะแบบนั้นอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมมีวิธีเด็ดๆที่จะทำให้คุณขจัดความกลัว และสร้างความเชื่อมั่นจนถึงระดับศรัทธาในตัวเองเพื่อเอาไปใช้ดีไซน์ชีวิตคุณ ใช่ ผมมีคำตอบให้คุณผู้อ่านที่รัก ง่ายมาก แต่เสี่ยง…!!!

เสี่ยงตรงไหน เสี่ยงตรงที่คนไทยชอบเล่นการพนัน ใช่ ผมกำลังชวนคุณมาพนันอนาคต ด้วยความเชื่อมั่นที่คุณมีอยู่ไม่ว่าคุณจะมีเท่าไหร่ก็ตาม ชนะได้หลายเท่าตัว แพ้เสียจนติดลบ สนมั้ย…!!! ไม่ใช้เงิน แต่ใช้อนาคตเดิมพัน…!!! เอาหละ พร้อมหรือยัง ที่จะเล่นเกมส์พนันที่มีอนาคตที่เหลือเป็นเดิมพัน เกมส์นี้ผมขอตั้งชื่อว่า “เดิมพันศรัทธาในตัวเอง”

ศรัทธาในตัวเองไม่ได้เกิดจากการพยายามบอกตัวเองหน้ากระจกว่า “เราเป็นคนเก่ง เราเป็นคนดี” แต่ศรัทธาในตัวเองเกิดจากการที่เรามีความเชื่อมั่นจากก้นบึ้งหัวใจ เป็นความเชื่อมั่นแบบบริสุทธิ์ที่ปราศจากความสงสัยว่าเราคู่ควรที่จะได้รับสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต มีหลักฐานที่ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเหมาะสมกับชีวิตที่ดี มีความสุข ออกแบบได้ เป็นชีวิตที่เราอยากได้จริงๆจากหัวใจ

ขั้นแรก มันต้องเริ่มจากการชำแหละความคิดประเภท “เราห่วยแตก ทำไม่ได้ทิ้งไป” และแทนที่ด้วยคำว่า “เห้ย เอาเข้าจริงเราก็ทำได้ เราก็เจ๋งเหมือนกันนี่หว่า”ความคิดแบบนี้แหละ คือความคิดที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ทุกๆเรื่อง ความคิดแบบนี้แหละ ถึงจะกลายเป็นการเริ่มสร้างตำนานของคุณ เป็นการสร้าง “ศรัทธาในตัวเอง”

ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่แม่ผมเป็นมะเร็ง ผมตกงาน รถโดนทุบ เงินเก็บเหลือ 300 บาททั้งตัว ความรู้สึกตอนนั้นยากเกินกว่าจะบรรยาย ผมซึ่งเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองอยู่เป็นทุน ทั้งอาย ทั้งขายหน้าที่ชีวิตล้มเหลว ไหนจะเรื่องแม่ที่ผมไม่รู้จะหาทางออกยังไงอีก ทำให้การดำเนินชีวิตในตอนนั้นยิ่งกว่าปั่นจักรยานล้อเดียว จนกระทั่งผมเจอพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังป่วยหนักระดับเป็นตายอย่างละครึ่ง เธอรวยมาก ครอบครัวน่ารักและมีความสุขกันแบบพ่อแม่ลูก (เธอมี Passive Income ในระดับสูงมากๆ)

เธอเล่าให้ผมฟังว่าธุรกิจแรกในชีวิตเธอ เธอขายกางเกงยีนต์ วันแรกเธอขับรถข้ามจังหวัดเพื่อไปขายกางเกงยีนต์ ผมจำไม่ได้ว่าเธอลงทุนเท่าไหร่ แต่เธอบอกว่าวันแรกจากการทำธุรกิจ เธอได้เงิน 70,000 บาทไปนอนกอดด้วยความดีใจ “ชีวิตคนเราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ลงมือทำเถอะน้องวิชญ์” เธอเล่าด้วยน้ำเสียงที่สนุก แต่สายตาเธอช่างหมองหม่นเหลือเกิน

ผมมานั่งคิดดู แม่ผมป่วยกาย แต่ผมป่วยทางใจ ผมอยากเป็นนายตัวเองมาตั้งแต่มหาลัย เลยคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสที่ฟ้าประทานให้เราเป็นนายตัวเองก็ได้ พอผมถามไพ่ Tarot ไพ่บอกผมว่าอยากได้ชีวิตแบบไหน เราก็ต้องลงมือทำแบบนั้น สุดท้ายผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง เพราะตอนนั้นไม่มีทางเลือก

ผมตั้งกฏหลอกๆ โดยการบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราออกกำลังกายได้ทุกวัน เราจะเป็นเศรษฐีเงินล้าน ถ้าเราสวดมนต์ไหว้พระได้ทุกวัน เราจะเป็นเศรษฐีเงินล้าน ถ้าเรากินอาหารมังสวิรัติได้ 1 เดือน เราจะเป็นเศรษฐีเงินล้าน เป็นต้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าความคิดบ้าๆบอๆ เปลี่ยนตัวเองแบบสุกเอาเผากินของผมกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนชีวิต กลายเป็นสิ่งที่ผมใช้ยามที่ผมท้อแท้ สิ้นหวัง ใช่ ถ้าเราอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเอง ก็ต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนความคิดและการกระทำ เริ่มมองเห็นไอเดียแล้วหรือยังครับ

ไพ่ของลูกค้าของผมหลายท่านมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ แต่ที่ทำไม่ได้จริงๆซะทีเพราะความเชื่อมั่นเกิดจากการบอกตัวเองด้วยความคิด ไม่ได้เกิดขึ้นจากศรัทธา ศรัทธาในตัวเองเกิดจากความเชื่อมั่น + หลักฐานความสำเร็จ นั่นหมายความว่าถ้าคุณเป็นคนที่บอกตัวเองทุกวันว่าเราเก่ง เราดี เรามีความสามารถ แต่หัวใจไม่สามารถค้นหาหลักฐานมายืนยันสิ่งที่คุณคิดได้ จบ คุณก็จะได้ชีวิตครึ่งๆกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เดินหน้า ไม่ถอยหลัง ไม่ซ้ายและไม่ขวา เพราะความเชื่อมั่นจะอยากผลักให้คุณพัฒนาตัวเอง แต่ขาดความศรัทธาจะรั้งให้คุณอยู่ที่เดิม

“ความเชื่อมั่น + หลักฐานความสำเร็จ = ศรัทธาในตัวเอง”

ดังนั้น ถ้าคุณอยากที่ประสบความสำเร็จในการออกแบบชีวิตตัวเอง คุณต้องเริ่มต้นจากการค้นหาหลักฐานของความเชื่อมั่นในตัวเอง ลองกำหนดโจทย์ขึ้นมาที่จะทำให้ตัวเองหลุดจาก Comfort Zone เช่น ฉันจะออกกำลังกายสัปดาห์ละ 120 นาทีแล้วฉันจะมีชีวิตที่ดี ฉันจะกินข้าว 3 มื้อโดยไม่กินขนมแล้วฉันจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ฉันจะอ่านหนังสือสัปดาห์ละเล่มแล้วฉันจะเป็นเศรษฐีเงินล้าน ฉันจะถือศีลห้าแล้วลูกค้าจะชอยฉัน ฉันจะสวดมนต์ไหว้พระทุกวันแล้วฉันจะกลายเป็นคนที่ความกลัวทำอะไรไม่ได้ ฉันจะเลิกกินเนื้อสัตว์ 1 เดือนแล้วฉันจะมองเห็นโอกาสในชีวิตได้เหมือนเห็นนกบิน ฉันจะนั่งสมาธิวันละ 5 นาทีแล้วหัวใจฉันจะกลายเป็นหัวใจนักสู้ ฉันจะเลิกเล่น Facebook หลัง 4 ทุ่มแล้วฉันจะมีสมาธิพอจะแก้ทุกปัญหาชีวิต หรือถ้าใน 2 เดือนฉันทำ …… ได้ ฉันจะเป็นนายตัวเองที่ประสบความสำเร็จ ฉันจะเริ่มต้นธุรกิจที่จะพลิกชีวิตฉันได้อย่างงดงาม เป็นต้น

ลองกำหนดโจทย์และผลลัพธ์ให้ตัวเองขึ้นมาแล้วควบคุมตัวเองให้ได้ ประทับตาคำว่าเราทำได้ลงไปในหัวใจเราเยอะๆ โจทย์ที่ตั้งยิ่งยากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสได้รับคะแนนศรัทธาในตัวเองเยอะขึ้นเท่านั้น แต่ประเด็นก็คือถ้าคุณตั้งโจทย์ขึ้นมา แล้วทะลึ่งทำไม่ได้ โอกาสที่คุณจะสูญเสียทั้งศรัทธาและความเชื่อมั่นจะมีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โจทย์ง่ายเวลาทำสำเร็จได้คะแนนน้อย แต่เวลาล้มเหลวเสียคะแนนเยอะ ถ้าคุณเป็นคนประเภทฉันทำไม่ได้ แล้วบังเอิญตั้งกฏขึ้นมาแล้วทำไม่ได้ ความมั่นใจและศรัทธาในตัวเองของคุณจะลดต่ำติดดินยิ่งกว่าเดิมอีก นี่แหละผมถึงเรียกว่าการเดิมพันไงหละ

การสร้างศรัทธาในตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันต้องอาศัยความใจถึง ผมรับประกันว่าใครใช้วิธีผม จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตตัวเองตั้งแต่ 7 วันเท่านั้น…!!! ผมขอเอาหัวของผมเป็นประกัน วิธีนี้ผมลองแล้วเวิร์ค 100% แต่กรุณาอย่าลืม ถ้าคุณตั้งกฏและทำไม่ได้ แล้วคุณสูญเสียความมั่นใจยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งอาจจะทำให้ศรัทธาคุณกร่อนลงยิ่งกว่าเดิมก็เป็นได้ ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ก็เป็นความผิดของคุณ ไม่ใช่ความผิดของผม ดังนั้นอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง อยากรับใช้ความฝันของตัวเอง หยุดเอาความกลัวมาเป็นอุปสรรค แล้วรีบเอาวิธีนี้ไปใช้ซะ มันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ศรัทธาในตัวเอง”

อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ไม่มีไอเดีย โอกาสมาแล้วครับ อย่าลืม ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือศิลปินที่กล้าออกแบบชีวิตตัวเอง สู้ๆ

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

แนวคิดธุรกิจยุคใหม่ ไม่ต้องพึ่งประสบการณ์

 

   นับแต่อดีตเป็นต้นมาหลายครั้งที่ค่านิยมถูกนำไปผูกติดกับความเชื่อในแบบผิดๆ ซึ่งมักบังคับช่องทางการทำธุรกิจให้แคบลงอยู่เสมอ ความเชื่อเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเอาเสียเลยในปัจจุบัน เพราะดูเหมือนจะเป็นการไปจำกัดความก้าวหน้าอย่างสิ้นเชิงสำหรับนักธุรกิจสายเลือดใหม่ โดยหนึ่งในความเชื่อที่เป็นข้อผูกมัดให้ไม่อาจทำให้เริ่มธุรกิจใหม่ได้ก็คือความเชื่อเรื่องประสบการณ์ ซึ่งมักได้รับการบอกกล่าวจากรุ่นสู่รุ่นว่าธุรกิจเป็นเรื่องของประสบการณ์ ผู้ใดไม่มีประสบการณ์ก็อย่าริอ่านไปทำธุรกิจโดยเด็ดขาด Timothy Ericson ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท CityRyde ได้ให้แนวทางที่จะปฏิวัติความคิดเรื่องประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจอีกต่อไป ดังต่อไปนี้

การมองหาความต้องการของตลาดเป็นสิ่งแรกที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่พึงจะต้องกระทำ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับสิ่งประดิษฐ์และบริการ เพราะต้องเข้าใจในพื้นฐานของคนเราที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน และเชื่อเถอะว่าไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการใดสามารถตอบสนองความต้องการได้ครบและครอบคลุมทุกกลุ่มผู้บริโภคได้ ดังนั้นสิ่งนี้คือช่องทางและโอกาสทองของผู้ประกอบการมือใหม่ที่ต้องจับตลาดความต้องการของผู้บริโภคที่มักเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ และทำผลิตภัณฑ์ออกมาตอบสนองความต้องการในส่วนดังกล่าวให้จงได้ ซึ่งแนวทางนี้ไม่ต้องใช้ประสบการณ์เลยแม้แต่น้อย ที่ต้องใช้คือการทำวิจัยดีๆ ต่างหาก

ผู้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจหลายคนส่วนมากก็ไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจมาก่อน เพียงแต่พวกเขามีมุมมองอันชาญฉลาดและรู้ว่าธุรกิจอะไรควรลงไปแข่ง ธุรกิจอะไรควรเว้นวรรค หรือที่เรียกว่าการประเมินโอกาสทางธุรกิจนั่นเอง วิธีการประเมินธุรกิจเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดคือการประเมินศักยภาพของธุรกิจของตนเองและกลุ่มตลาดเป้าหมาย ตัวอย่างคือ พิจารณาปัจจัยทางความพร้อม บุคลากร เงินทุน การบริหาร บวกกับแนวทางการเติบโตของกลุ่มเป้าหมายที่จะลงไปจับ คู่แข่ง ความต้องการหลักของผู้บริโภค เมื่อนำปัจจัยทั้ง 2 ด้านมาวิเคราะห์ประกอบกันแล้วก็จะรู้เองว่าธุรกิจดังกล่าวมีความน่าลงทุนขนาดไหนที่จะส่งผลิตภัณฑ์และบริการลงไปแข่งด้วย จึงจะเรียกว่าเป็นการทำธุรกิจอย่างชาญฉลาดที่มีแต่ได้มากกว่าเสียนั่นเอง

ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดจุดด้อยในเรื่องการขาดประสบการณ์ได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกับบริษัทหน้าใหม่ๆ คำถามที่มักพบเป็นประจำเมื่อเวลาไปขายงานต่อหน้าลูกค้าคือ หากไม่มีประสบการณ์อะไรเลยแล้วสิ่งไหนจะมาเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าคุณจะทำงานให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่นำเสนอมาได้ ผู้ประกอบการหลายรายเมื่อได้ฟังคำถามนี้ก็แทบตกเก้าอี้เพราะไม่สามารถตอบคำถามที่ยิงมาจากปากลูกค้าได้ ทางออกของปัญหาดังกล่าวคือสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นในกรอบการดำเนินงานของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนเงินทุนสำรอง ยอดหมุนเวียนในกระแสเงินสด และที่สำคัญคือประวัติการทำงานที่ผ่านมาของบริษัทต้องไม่มีข้อผิดพลาดจนถูกฟ้องร้องหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจากการทำงานโดยเด็ดขาด เรียกได้ว่าทำประวัติการทำงานของบริษัทให้เนียนเข้าไว้จะช่วยทดแทนจุดด้อยในเรื่องของการขาดประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี

เพราะความที่ยังไม่มีประสบการณ์จึงต้องอาศัยความทุ่มเทและการประหยัดมัธยัสถ์เป็นหลัก ด้วยการไปศึกษาหาข้อมูลและคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจที่ให้บริการฟรีในรูปแบบเครือข่ายอย่างในโลกสังคมออนไลน์ (Social Media) เช่น ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก ที่มักให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจแบบฟรีๆ ไม่เสียเงินเลยสักบาท บางครั้งอาจช่วยพิจารณาการวางแผนธุรกิจและช่วยกระจายข้อมูลในเรื่องการทำงานให้ด้วย ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือในลักษณะของมิตรภาพที่ไม่อาจตีราคาได้ นอกจากนี้การศึกษาหาข้อมูลการทำธุรกิจจากห้องสมุดต่างๆ และการเข้าอบรมสัมมนาทางวิชาการตามมหาวิทยาลัยก็เป็นวิธีการช่วยเพิ่มความรู้ได้ดีอีกวิธีหนึ่ง

ผู้เริ่มประกอบธุรกิจในช่วงแรกต่างรู้ดีว่าเงินทุนเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด การใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษหรือเรียกง่ายๆ ว่าการประหยัดนั่นเอง โดยหนึ่งในแนวทางที่จะช่วยลดรายจ่ายได้เป็นอย่างดีคือ การใช้งานอินเทอร์เน็ตให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจสามารถค้นหาจากทางโลกออนไลน์ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการเขียนแผนทางธุรกิจ การดาวน์โหลดเอกสาร และที่สำคัญคือสถิติต่างๆ ที่มีเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตก็มีอยู่เป็นจำนวนมากและฟรีอีกด้วย หากไปว่าจ้างบริษัทรับทำสำรวจจะเสียค่าใช้จ่ายแพงมาก และไม่คุ้มค่าสำหรับบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่ด้วย

เครื่องมือที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการในการลดปัญหาที่เกิดจากการขาดประสบการณ์ทางธุรกิจก็คือใช้จุดแข็งเข้าต่อสู้ ผู้ประกอบการจะต้องสำรวจตนเองก่อนว่ามีจุดแข็งในเรื่องอะไรที่จะสามารถไปต่อกรกับคู่แข่งบนท้องตลาดได้ อาจเป็นราคาที่ถูกกว่า คุณสมบัติที่ดีกว่า ฯลฯ แล้วพัฒนาเครื่องมือดังกล่าวนำมาใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับคู่แข่งที่มักอ้างเรื่องประสบการณ์เป็นจุดเด่น ซึ่งการใช้จุดแข็งของธุรกิจเข้ามาต่อสู้นี้ต้องใช้ทักษะส่วนตัวของผู้ประกอบการค่อนข้างมากในการบริหารจัดการให้ตรงกับยุทธศาสตร์ที่วางเอาไว้

• • •

ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ประกอบการจะหาซื้อได้จากร้านสะดวกซื้อทั่วไปและส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นการค้นหาจุดแข็งในด้านอื่นๆ เพื่อนำมาทดแทนจุดด้อยดังกล่าวจึงเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึง "กึ๋น" ในการบริหารจัดการของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี

5 ขั้นตอน แก้นิสัย "ผัดวันประกันพรุ่ง"


   สำนักข่าว VOA Thai เผยแพร่บทความในหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal กล่าวถึงการผัดวันประกันพรุ่งว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นสิ่งที่ทำกันมาแล้วทุกคนไม่มากก็น้อย โดยชี้แนะว่าผลกระทบของการผัดวันประกันพรุ่งนี้ ถ้าเป็นอุปนิสัยที่ยืดเยื้อเรื้อรัง อาจส่งผลเสียอย่างมากต่อชีวิตครอบครัวหรือการงานได้

นักจิตวิทยานิยามการผัดวันประกันพรุ่ง ว่าเป็นการจงใจชะลอการกระทำ แม้เจ้าตัวจะรู้ถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต หรือการมุ่งหาความสนุกหรือความเพลิดเพลินในระยะสั้น แม้จะต้องชดใช้ผลในระยะยาว

นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Stockholm เผยแพร่รายงานการศึกษาของตนในเรื่องนี้ออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ระบุว่าการผัดวันประกันพรุ่งที่เรื้อรังนั้น คือการที่คนเราจัดการกับความกดดันทางอารมณ์และจิตใจ ยกตัวอย่างเช่นแทนที่จะทำงานให้แล้วเสร็จ เราอาจเลือกไปออกกำลังกายที่โรงยิมแทน โดยบอกกับตัวเองว่า การออกกำลังกายเป็นประโยชน์ นักจิตวิทยาเรียกการกระทำเช่นนี้ว่าเป็น “การชดเชยทางจิตใจ” ที่ทำให้ผู้กระทำมีความรู้สึกดี แม้จะเป็นการเลี่ยงงานก็ตาม

นักผัดวันประกันพรุ่งบางคนอ้างว่า ที่ยังไม่ได้เริ่มทำงานชิ้นนั้นชิ้นนี้ เพราะกำลังคิดหาทางทำเพื่อให้ได้ผลสมบูรณ์เต็มที่ ไม่ต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกันอีก ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผลที่อาจเกิดขึ้นตามมากับอุปนิสัยผัดวันประกันพรุ่งที่ฝังลึกเรื้อรังนั้น อาจทำให้ชีวิตครอบครัวล่มสลาย ถูกออกจากงาน และบ่อยครั้งทำให้เจ้าตัวมีความรู้สึกไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงได้กับโรคเศร้าซึม ความกระวนกระวายใจ และสุขภาพร่างกายโดยทั่วไปที่ไม่ดี

ศาสตราจารย์ Timothy Pychyl สอนวิชาจิตวิทยาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Carleton ในกรุง Ottawa ของแคนาดา ให้คำแนะนำเพื่อแก้นิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ไว้เป็นขั้นตอนดังนี้

ขั้นแรก - แบ่งโครงการงานที่จะต้องทำออกเป็นส่วนๆ โดยกำหนดเป้าหมายของงานแต่ละส่วนไว้

ขั้นที่สอง - เริ่มต้นทำงาน

ขั้นที่สาม - เตือนใจตนเองเสมอว่า การทำงานเสร็จจะเป็นประโยชน์กับตนเองในอนาคต และการเลื่อนการทำงานออกไปในตอนนี้ จะไม่ทำให้งานชิ้นนี้สนุกน่าทำงานมากขึ้นในอนาคต

ขั้นที่สี่ - กำหนดการลงโทษตนเองถ้าเลื่อนเวลาเริ่มทำงานออกไป โดยไม่ต้องเป็นโทษหนักหนาอะไร เช่นถ้าอยากจะเล่นวิดีโอเกมแทนการทำงาน ก็ต้องไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งต่างหาก

ขั้นสุดท้าย -ให้รางวัลตนเองเมื่อทำงานเสร็จทั้งหมด โดยจะให้รางวัลเล็กๆ เป็นระยะเมื่อทำงานตามเป้าหมายย่อยเสร็จด้วยก็ได้

นักวิจัยหลายทีมงานกำลังศึกษาทดลองวิธีต่างๆ ที่จะแก้นิสัยผัดวันประกันพรุ่ง รวมทั้งวิธีบำบัดโดยการสอนให้รู้จักช่วยตนเอง และการหารือกับนักจิตวิทยาเพื่อให้รู้จักตนเองและมองอนาคตของตนเองได้ในระยะยาว เหล่านี้เป็นต้น จะมีผลการทดลองวิธีบำบัดบางวิธีเป็นเวลาหนึ่งปีเผยแพร่ออกมาให้ได้ทราบกันในปีนี้ว่า วิธีใดทำได้สำเร็จมากน้อยแค่ไหน?

การบรรลุความปรารถนาเรื่องเงินๆทองๆ


การบรรลุความปรารถนาเรื่องเงินๆทองๆ

   สวัสดีครับ  วันนี้ผมขอแบ่งปันในสิ่งที่ผมเชื่อว่าทุกท่านรักแน่ๆ คับ  นั่นก็คือเรื่องของเงินๆทองๆนั่นเอง  เชิญติดตามได้เลยครับ

   -คนรวยยิ่งรวยขึ้น   คนจนยิ่งจนลง
       ข้อเท็จจริงในโลกใบนี้ที่ผมและคุณโต้เถียงไม่ได้เลย  ก็คือ ในแต่ละปีที่ผ่านไป  คนรวยส่วนใหญ่ยิ่งรวยขึ้น  ในขณะที่คนจนส่วนใหญ่ยิ่งจนลง  ความเป็นจริงของชีวิตข้อนี้  เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมจำนนไปแล้ว  และไม่คิดว่าจะสามารถฝืนมันได้   อย่างไรก็ตาม  ความสวยงามในการเป็นมนุษย์ยังมีอยู่  เพราะมีคนจนผู้กล้าที่สามารถเอาชนะชีวิต  จนสามารถยกระดับเป็นคนรวยได้  จึงเป็นหลักฐานพิสูจน์ทราบที่เชื่อได้ว่า  คนจนไม่จำเป็นต้องยิ่งจนลง  เคล็ดลับสำคัญของการกลายเป็นคนที่รวยขึ้นอยู่ตรงความคิดที่ว่า ความคิดที่สม่ำเสมอ  จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ  ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมีระบบคิดที่ไม่รู้ตัวว่า กำลังคิดโดยมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ไม่ต้องการ  เช่นความขาดแคลน  การมีเงินไม่พอใช้หนี้  ไม่พอจ่ายค่าเทอมลูก เป็นต้น  ส่วนคนรวยจะคิดถึงแต่โอกาสในการหาเงินได้มากขึ้น  การลงทุนที่งอกเงย และมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ต้องการมากกว่า   ดังนั้น  จึงไม่แปลกที่คนรวยยิ่งรวยขึ้น  คนจนยิ่งจนลง  หากคุณมีสติและกลับทิศทางของความคิดที่คุณกำลังมุ่งความสนใจได้  คุณก็สามารถเป็นคนรวยคนต่อไปได้ครับ

-คุณเป็นเหตุ  ไม่ใช่เป็นผล
       ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร  เป็นผลที่เกิดในชีวิตโดยมีตัวคุณเป็นเหตุ  ดังนั้น  คุณจึงต้องรู้จักแยกสมการระหว่างตัวคุณคือเหตุ และผลลัพธ์ของชีวิตคุณคือผล  ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนผลลัพธ์  คุณก็ต้องเปลี่ยนตัวคุณซึ่งเป็นเหตุก่อน  โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจก่อนว่า  ความร่ำรวยเริ่มต้นจากความนึกคิด  ไม่ได้เริ่มจากสมุดบัญชีเงินฝาก  ถ้าความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการ  คุณก็ต้องมีพิมพ์เขียวทางการเงินของผู้มั่งคั่ง  อย่ามีพิมพ์เขียวของคนจน  อย่ามีพิมพ์เขียวของนักกู้ที่มีหนี้สินรุงรัง   คุณคงเคยเห็นสามล้อถูกรางวัลที่หนึ่ง  สามปีผ่านไปกลับมาจนเหมือนเดิม  หรือนักมวยเหรียญทองโอลิมปิคบางคน ไม่สามารถรักษาเงินสามสิบสี่สิบล้านไว้ได้  นั่นเป็นเพราะพิมพ์เขียวทางการเงินของพวกเขามีปัญหานั่นเอง  ถ้าคุณต้องการเป็นคนมั่งคั่ง  คุณคิดว่าคุณคู่ควรกับเงินจำนวนเท่าไหร่  จงยกระดับความคู่ควรของคุณอย่างต่อเนื่อง  จงสร้างความรู้สึกคู่ควรกับการมีรายได้หลักแสนจนถึงหลักหลายแสนต่อเดือน  เพราะเงินแต่ละระดับจะมาหาคนที่เชื่อและรู้สึกว่าเขาคู่ควรเท่านั้น

-สร้างความมั่งคั่งจากจินตนาการ

      ไอสไตน์บอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ซึ่งใช้ได้กับการสร้างความมั่งคั่งด้วย  ถ้าคุณไม่มีจินตนาการ  ก็เท่ากับว่าคุณให้อดีตของคุณนำพาปัจจุบันและอนาคตของชีวิต  ชีวิตคุณก็จะไม่ได้อะไรที่แตกต่างจากอดีต  ดังนั้น  จงกล้าที่จะจินตนาการ  มองให้เห็นภาพคนสำเร็จในตัวคุณ  เข้าให้ถึงความรู้สึกว่าคุณมั่งคั่ง  จากนั้นลงมือทำอย่างมุ่งมั่น  ในที่สุด คุณก็จะเป็นเจ้าของชีวิตที่มีเงินมีทองมากขึ้น  มีชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น  มีความสำเร็จและมีความสุขที่มากขึ้นอย่างแน่นอนครับ

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

บัญญัติ 10 ประการ ที่จะนำไปสู่ “ความมั่งคั่ง”


บัญญัติ 10 ประการ ที่จะนำไปสู่ “ความมั่งคั่ง” 

ผมชอบหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “Be Rich…  The Ten Financial Laws of Prosperity” หรือแปลตามความได้ว่า “มารวยกันเถอะ… กฎการเงิน 10 ข้อ แห่งความเจริญรุ่งเรือง” โดยผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ก็คือ แดน ดูลิน (Dan Dulin) และ เกร็ก เอ็น ไวเลอร์ที่สอง (Greg N. Weiler II)  เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึง กฎการเงิน 10 ข้อ ที่จะสามารถนำพาให้เราไปพบกับความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งได้ โดยพอสรุปได้ดังนี้ครับ

หนึ่ง  คุณต้องเชื่อว่า… “คุณจะต้องทำสำเร็จแน่”

เช่นเดียวกับ พลังของการตั้งเป้าหมาย ก่อนที่คุณจะทำอะไรเพื่อให้ประสบความสำเร็จนั้น อันดับแรก คุณต้องเชื่อเสียก่อนว่า… “ฉันจะต้องทำสำเร็จแน่” โดยให้แนวความคิดที่ว่า

• สิ่งที่คุณเชื่อก็คือ…สิ่งที่คุณจะเป็น ถ้าคุณคิดว่า…คุณรวย คุณก็จะ…รวย• คุณจะต้องมี “พลังของความคิดในแง่บวก”• คุณต้องการเงินเท่าไร?  แผนการเงินของคุณ ที่จะทำให้ได้…เงินก้อนนั้นมา
ในบทนี้เป็นเสมือนการตั้งเป้าหมาย ด้วยพลังความคิดในแง่บวก ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง และคุณเองก็ทำได้… ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับ “คุณ”

สอง  การประหยัดเพื่อ…อนาคต

ความคิดอันดับแรกที่มักจะเกิดขึ้นในใจของคนจนก็คือ  เมื่อได้รับเงินมาแล้ว พวกเขาก็มักที่จะหาวิธีการที่ใช้จ่ายเงินก้อนนั้นออกไปอย่างไร? เช่น การจ่ายบิลที่จำเป็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าโทรศัพท์ และอื่นๆ  ถ้าหากเงินที่ได้มายังเหลืออยู่ ก็จะคิดต่อไปถึงการใช้จ่ายเงินที่เหลือต่อไปอย่างไร…จนเงินหมด ไม่มีเหลือเก็บออมไว้ได้เลย

ขณะที่คนรวยมักจะมีความคิดอันดับแรกที่เกี่ยวกับเงินที่ได้มาว่า…จะเก็บออมเท่าไรดี?  อาจจะเป็น 10% หรือมากกว่านั้น หลังจากที่หักเงินออมออกไปแล้ว จึงมาคิดต่อว่า เงินที่เหลืออยู่จำเป็นจะต้องจ่ายอะไรบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนรวยจึงสามารถที่จะเก็บออมได้ทุกเดือนอย่างไม่ยากลำบากนัก เพราะเงินเดือนหรือรายได้ที่ได้มาในแต่ละเดือนจะถูกหักออกไปเพื่อการออมเงิน…เป็นอันดับแรก นั่นเอง

สาม  หารายได้…เพิ่มขึ้น

ในข้อนี้…จะเน้นไปที่การหารายได้เสริม ซึ่งอาจจะเป็นงานนอกเวลาทำงานปกติ หรืออาจจะเป็นธุรกิจเล็กๆที่มีแนวโน้มที่จะสามารถหารายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งคุณคงจะต้องหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะหามาให้ได้ซึ่ง…รายได้เสริม

แต่หากคุณยังคิดไม่ออก มีวิธีการง่ายๆที่จะพอช่วยคุณได้คือ ลองมองหาคนที่คุณรู้จัก…ที่เขาสามารถหาเงินได้เป็นจำนวนมากๆ ลองเรียนรู้ดูว่าคุณจะพอทำตามหรือลอกเลียนแบบเขาได้บ้างไหม? นอกจากนั้นการศึกษาหาความรู้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถทำให้คุณหาอาชีพเสริมได้ เช่น การศึกษาอุปนิสัยของคนที่รู้จักที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ การอ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพเสริม หรือแม้กระทั่งการค้นหาคำง่ายๆจากอินเทอร์เน็ต

สี่  จงดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง

คงมีคุณผู้อ่านหลายท่านที่มีความรู้เกี่ยวกับ “ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์” ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็น 5 ระดับคือ ความต้องการทางกายภาพ ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความรักและความเป็นเจ้าของ ความเคารพนับถือ และความสมบูรณ์ของชีวิต

หลังจากที่คุณผู้อ่านได้เรียนรู้ “ลำดับความต้องการของมาสโลว์” ไปแล้ว เราก็คงจะพอตระหนักได้ว่า เมื่อมนุษย์ได้รับความต้องการขั้นพื้นฐานในลำดับที่ 1 และลำดับที่ 2 ไปแล้ว มนุษย์จะพยายามขยับขยายฐานะความเป็นอยู่ของตน เพื่อที่จะให้ตนก้าวข้ามไปอยู่ในสังคมที่สูงขึ้นหรือการก้าวไปสู่ความต้องการในลำดับที่ 3 และ 4  ซึ่งจะทำให้ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกมากมาย และอาจจะนำไปสู่ “ความล้มเหลวทางการเงิน” ได้ในที่สุด และนั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่า “กับดักการใช้ชีวิต” (Lifestyle Trap)

ห้า  พยายามช่วยเหลือ… คนที่ยังต้องการอยู่

ในโลกนี้ยังมีคนยากจนและคนที่ต้องการความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก การที่คุณผู้อ่านสามารถที่จะให้บางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาต้องการ โดยไม่ทำให้ตัวเราเองต้องเดือดร้อน จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกใบนี้…น่าอยู่ยิ่งขึ้น และจะทำให้เรามีความสุขจากการให้ ซึ่งก็จะมีผลทำให้จิตใจและร่างกายของเราพลอยดีขึ้นไปด้วย สิ่งที่คุณผู้อ่านสามารถมอบได้นั้นมี 3 สิ่งด้วยกันคือ

• การให้เงิน พยายามจัดสรรรายได้ที่ได้รับประมาณ 10% เพื่อให้แก่คนจน เงินจำนวนนี้อาจมีค่านับเป็นสิบร้อยพันเท่าสำหรับคนยากจนเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เขาเหล่านั้นมีความหวังในชีวิต…มากขึ้น• การให้เวลา โดยการเสียสละเป็นอาสาสมัคร เป็นครู เป็นพี่เลี้ยง หรือเป็นคนที่สามารถช่วยคนทางหนึ่งทางใดได้ การเสียสละเวลาซัก 1-2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็สามารถทำให้สังคมดีขึ้นแล้ว• การให้อภัย การให้อภัยอาจจะเป็นสิ่งเดียวในสามสิ่งนี้ ที่จะทำให้คุณผู้อ่านมีภาวะจิตใจที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะนำไปสู่สุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้นการให้อภัยยังสามารถทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นพลอยจะดีขึ้นไปด้วย

หก  จงเตรียมพร้อม

ในการดำเนินชีวิตจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมพร้อมทางด้านการเงิน โดยเฉพาะในกรณีที่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น การเตรียมพร้อมทางการเงินดังกล่าวพอที่จะจำแนกเป็นประเภทได้ดังต่อไปนี้

เงินฉุกเฉิน  ทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีเงินฉุกเฉินไว้เผื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

การประกันชีวิตและการประกันภัย  เพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดใดๆ เช่น การประกันความพิการหรือทุพพลภาพ  การประกันน้ำท่วม เป็นต้น

เจ็ด  ใช้ชีวิตอย่าง…ไม่มีหนี้

หากคุณยังไม่มีหนี้สินอยู่เลย ก็จงอย่าเป็นหนี้ แต่หากคุณมีหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระอยู่แล้ว มีวิธีการบางวิธีที่จะช่วยขจัดหนี้เหล่านี้ออกไปจากชีวิตของคุณได้

   ขั้นที่ 1  จงอย่าสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้น

   ขั้นที่ 2  ยกเลิกการใช้บัตรเครดิต

   ขั้นที่ 3  ใช้เงินสดซื้อของทุกอย่าง

   ขั้นที่ 4  เร่งการจ่ายหนี้คืน  และศึกษาวิธีการปรับลดหนี้

แปด  แสวงหาวิธีที่จะทำให้ “เงิน” ทำงานให้คุณ

หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ “เงิน” ทำงานให้คุณก็คือ การนำเงินไปลงทุนนั่นเอง ซึ่งมีกฎทอง 15 ข้อที่อาจจะเหมาะสำหรับคนที่คิดจะเริ่มต้นลงทุนดังนี้ครับ

เรียนรู้จากผู้อื่น

หาจังหวะเวลาที่ถูกต้อง

อย่าให้สูญเสียเงินต้น

เรียนรู้การลงทุนในทรัพย์สินที่สร้างรายได้และเพิ่มค่าได้

หลีกเลี่ยงการมีความเชื่อมั่นที่มากเกินไป

รู้เวลาที่ควรจะออกจากการลงทุน ตั้งแต่…เริ่มลงทุน

อ่าน…อ่าน…อ่าน  การอ่านคือ หัวใจแห่งการเรียนรู้

เขียนมันออกมา  จงพยายามเขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องออกมา

กาลเวลาพิสูจน์…ความเชื่อถือ  อย่าคิดที่จะทำธุรกิจหรือลงทุนกับคนที่คุณไม่รู้จัก

คุณต้องควบคุมได้  อย่าลงทุนในสิ่งที่…คุณไม่เข้าใจ

ลงทุนแต่ในสิ่งที่…คุณรู้  จงศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากรู้และสนใจ

ทำงานกับมืออาชีพเท่านั้น

ทุกอย่าง…เจรจาได้หมด  พยายามคิดที่จะต่อรองกับทุกธุรกิจหรือทุกการลงทุน

จงทำการบ้าน  อย่าเชื่อคำแนะนำต่างๆโดยไม่ได้ตรวจสอบ

จงระวัง…การเป็นหนี้  เพราะการกู้ยืมเงินจะนำมาซึ่ง…ความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย


เก้า  จงปกป้อง “เงินของคุณ”

ในปัจจุบัน มีความเสี่ยงมากมายที่จะทำให้คุณมีโอกาสลงทุนผิดพลาดได้ อย่างไรก็ตาม มีกฎทอง 15 ข้อที่จะใช้ในการปกป้อง “เงินของคุณ” ดังนี้ครับ

จงกระจายความมั่งคั่งของคุณ  นั่นคือ การกระจายการลงทุนออกไป

ควบคุมความโลภและความกลัว  เพราะสองสิ่งนี้จะทำให้คุณมีโอกาสลงทุนผิดพลาดได้ง่าย

อย่าให้ปัญหาลุกลามออกไป  ควรจะจัดการกับปัญหาตั้งแต่ปัญหานั้นๆยังมีขนาดเล็กอยู่

ระวังการปล่อยกู้ให้กับ…ญาติและเพื่อน

อย่าค้ำประกัน

คุณไม่ได้เกิดมาเป็น…นักพนัน  ไม่ควรนำเงินของคุณไปเสี่ยงกับการลงทุนที่เป็น “การพนัน”

จงหลีกเลี่ยงการเป็น… “ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย”

อย่าเปลี่ยนจาก…การลงทุนที่กำไรไปเป็น…การลงทุนที่ขาดทุน

กล้าที่จะ…ตัดขาดทุน

อย่าใจร้อน  ความใจร้อนจะนำไปสู่ความผิดพลาดตามมาอีกมากมาย

จงปกป้องความสูญเสีย

อย่าเล่นเกมส์ของ “ผู้แพ้”  หากคุณรู้ว่าการลงทุนใดๆมีการควบคุมหรือมีการสร้างราคาโดยคนอื่นอยู่ ก็จงพยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลที่สุด

รู้ความเสี่ยงที่เกิดจาก…ฝ่ายตรงข้าม

ทำให้ “ภาษี” ต่ำที่สุด  ควรคำนึงถึงการวางแผนภาษีไว้ด้วย

จงให้เงินกู้…โดยมีทรัพย์สินค้ำประกันเท่านั้น

สิบ  จงเป็นเจ้าของบ้าน…ที่ปราศจากหนี้

“บ้าน” ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด เพราะเป็นสถานที่ที่ครอบครัวของคุณอาศัยอยู่ ด้วยเหตุนี้ การที่จะจ่ายหนี้บ้านให้เร็วที่สุดก็จะทำให้คุณไม่ต้องมาพะวักพะวงว่า ในแต่ละเดือนจ่ายค่าบ้านแล้วหรือยัง นอกจากนั้นแล้วคุณยังได้ประโยชน์ทางภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการจ่ายดอกเบี้ยค่าบ้านอีกด้วย

และนั่นคือ บัญญัติ 10 ประการ ที่จะนำไปสู่ “ความมั่งคั่ง” ทั้ง 10 ข้อ ที่คุณผู้อ่านควรจะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิต เพื่อความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตต่อไป

CR. ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์

วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

www.facebook.com/doctorweclub

ทุนเรียนต่อเมืองนอก

E-Book แนะนำ รองรับโทรศัพท์มือถือ


กรอกข้อมูลเพื่อรับสิทธิพิเศษ