แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คิดแล้วรวย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คิดแล้วรวย แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

วิธีระดมความคิดที่ใช้ได้ผลดีที่สุด


วิธีระดมความคิดที่ใช้ได้ผลดีที่สุด

การระดมความคิดคือการจับกลุ่มกัน และให้ทุกคนเสนอความคิดของตนเองเพื่อจุดมุ่งหมาย  ที่ทีมได้ตั้งเอาไว้  การระดมความคิดมีประโยชน์มากมายในการแก้ไขปัญหา และริเริ่มโครงการใหม่ ๆ  และวันนี้เราได้รวมเทคนิค ที่ดีที่สุดในการระดมความคิดที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน มาเผยแพร่ให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน และนำไปใช้กันครับ

ค้นหาสมาชิกในทีมระดมความคิดของคุณ

       จงเอาตัวคุณเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนซึ่งจะมีกี่คนก็ได้ที่คุณต้องการ เพื่อทำให้เกิดการระดมความคิดซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างสรรค์และประสบความสำเร็จในแผนงานของคุณ รวมไปถึงแผนการแห่งการสร้างความร่ำรวยได้ จงให้ความร่วมมือทำตามคำแนะนำนี้อย่างจริงจัง

   คุณต้องเลือกที่จะร่วมงานกับคนที่คู่ควร มีเป้าหมาย ความสนใจ และมีปณิธานแรงกล้าที่จะทุ่มเทความพยายามเช่นเดียวกับคุณ การลองผิดลองถูกเป็นขั้นตอนหนึ่ง แต่มีสองสิ่งที่จำเป็นต้องจำใส่ใจไว้คือ

  -ประการแรกคือ ความสามารถในการทำงาน อย่าเลือกคนเข้ามาเพราะคุณรู้จักหรือชอบเขาเป็นอันขาด คนกลุ่มนี้อาจมีค่ากับคุณเพราะเขาช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้น แต่ไม่เหมาะกับทีมระดมความคิด เพื่อนที่ดีที่สุดของคุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการตลาดดีที่สุด แต่เขาอาจช่วยแนะนำคนเก่งที่สุดให้คุณได้

 -ประการที่สองคือ ความสามารถที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นด้วยความสมานฉันท์ จำเป็นต้องมีการประชุมด้วยใจโดยไร้ข้อจำกัด ความทะเยอทะยานส่วนตัวต้องเป็นรองการบรรลุเป้าหมายของทีม ซึ่งรวมไปถึงความทะเยอทะยานของตัวคุณเองด้วย

คุณต้องยืนยันสิ่งนี้กับตัวเองอย่างเป็นความลับ คนบางคนสามารถให้ไอเดียพื้นๆได้ เพราะเขาช่างพูด คุณต้องไม่ให้คนพวกนี้เข้ามาในกลุ่ม

จงปรับตัวคุณเองให้เข้ากับสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่คุณถูกพวกเขากดดัน จงพยายามจินตนาการว่าคุณจะทำอย่างไร

จงให้ความสนใจกับภาษากายที่เขาแสดงออก บางทีการแสดงสีหน้าท่าทางจะบอกความรู้สึกของคนเราได้มากกว่าคำพูดที่ออกมาจากปาก ซึ่งว่องไวที่จะรับรู้สิ่งที่เขากำลังพูด บางทีสิ่งซึ่งพูดทิ้งไว้ก็มีความสำคัญ

 อย่าพยายามบีบบังคับให้คนในกลุ่มก้าวเร็วเกินไป จงยอมให้คนที่ต้องการทดสอบความคิดตัวเองได้มีโอกาสท้าทายคุณบ้าง

  ตอบแทนทีมระดมความคิดของคุณ

ก่อนที่จะสร้างทีมระดมความคิดของคุณขึ้นมา จงตัดสินใจว่าอะไรบ้างที่คุณจะให้เป็นสิทธิประโยชน์แก่สมาชิกในกลุ่ม เพื่อเป็นการตอบแทนความร่วมมือร่วมใจของพวกเขา ไม่มีใครทำงานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่มีคนฉลาดคนใดร้องขอหรือคาดหวังให้คนอื่นทำงานให้โดยปราศจากการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ

ความมั่งคั่งจะปรากฏแก่สมาชิกของคุณทุกๆคน จงให้พวกเขาอย่างยุติธรรมและด้วยความใจกว้าง การที่สมาชิกแต่ละคนได้รับการยอมรับ และมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น อาจสำคัญพอๆกับเงินทองเลยทีเดียว

 จงจำไว้ว่า หลักการของหุ้นส่วนที่ทำงานเกินเงิน (ทำงานมากกว่าและดีกว่าเงินที่ได้รับ) นั้นมีความสำคัญมาก ในฐานะผู้นำ คุณควรจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม

 สมาชิกแต่ละคนต้องตกลงกันได้ตั้งแต่ตอนแรก ในการที่จะช่วยกันสร้างผลกำไรและผลประโยชน์ ตลอดจนถึงการแบ่งผลประโยชน์ด้วย มิเช่นนั้นแล้วคุณก็มั่นใจได้เลยว่าความแตกแยกจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน มิตรภาพและความร่วมมือจะถูกทำลายจนหมดสิ้น

การประชุมทีมระดมความคิดของคุณ

 จัดให้มีการประชุมสมาชิกทีมระดมความคิดของคุณ จนกว่าคุณจะร่วมกันทำแผนการที่จำเป็น หรือแผนสร้างความร่ำรวยเป็นผลสำเร็จ โดยประชุมอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งหรือบ่อยกว่านั้นถ้าเป็นไปได้

การประชุมครั้งแรกจะเกี่ยวข้องกับการแยกแยะจุดแข็ง จุดอ่อน และปรับรายละเอียดของแผนการ

เมื่อการระดมความคิดของคุณดีขึ้นและเกิดความสมัครสมานสามัคคีในหมู่สมาชิก คุณจะพบว่าการประชุมจะสร้างสรรค์ไอเดียให้ไหลไปสู่จิตใจสมาชิกทุกคน
        
 อย่าให้การประชุมสม่ำเสมอเป็นทางการมากเกินไป จนห้ามรับโทรศัพท์มือถือและการติดต่ออย่างไม่เป็นทางการ

 ธำรงรักษาการระดมความคิด

จงรักษาความสมัครสมานสามัคคีระหว่างตัวคุณกับสมาชิกในทีมระดมความคิดไว้ให้ดี ถ้าพลาดคำแนะนำนี้ไปแม้เพียงเล็กน้อย คุณอาจพบกับความล้มเหลว หลักแห่งการระดมความคิดจะไม่ได้ผลถ้าความสามัคคีไม่เกิดขึ้น

จงสร้างสรรค์บรรยากาศที่เป็นมิตร ยอมรับทุกความคิดเห็นด้วยความสนใจและใส่ใจในความรู้สึกของผู้นั้น ทุกคนต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยหลักแห่งจริยธรรมและต้องไม่มีสมาชิกคนใดที่แสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม

ในฐานะผู้นำ คุณต้องสร้างสรรค์ความมั่นใจให้เกิดขึ้นในหมู่สมาชิกว่า คุณได้อุทิศตนให้กับปณิธานของคุณซึ่งเป็นเป้าหมายของทีมงาน สมาชิกต้องรับรู้ว่าคุณน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้

 เมื่อคุณพร้อมที่จะเสนอผลงานแห่งความพากเพียรพยายามต่อนักลงทุนผู้ซื้อ หรือสาธารณชนแล้ว คุณอาจถูกท้าทายภาวะผู้นำในการที่จะรักษาความปรองดองของทีมระดมความคิดของคุณ ความพยายามของทีมกำลังจะถูกตัดสินโดยคนภายนอก และต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจของผู้อื่นด้วยความกล้าหาญและอดทน ความกล้าหาญของแต่ละคนเทียบไม่ได้กับความกล้าหาญของทั้งทีมยิ่งคุณสามารถรักษาความสมัครสมานสามัคคีได้มากเท่าไร พลังยิ่งมากขึ้นเท่านั้นและเมื่อพลังยิ่งมากขึ้น คุณก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคได้ง่ายขึ้น

 การแต่งงานกับการระดมความคิด 

พันธมิตรร่วมคิดที่คุณรักมากที่สุดมีความสำคัญมาก ถ้าคุณแต่งงานแล้วแต่ไม่ได้สร้างสัมพันธภาพอันดีตามหลักการแห่งความสมัครสมานสามัคคี ซึ่งมีความสำคัญมากต่อพันธมิตรของคุณแล้วล่ะก็ คุณก็อาจจะต้องหย่าร้างกับคู่สมรสจงจัดเวลาในแต่ละวันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการ และวิธีการที่จะทำเป้าหมายที่ชัดเจนของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถโน้มน้าวจิตใจคู่ครองให้เห็นถึงผลประโยชน์ของงานที่คุณกำลังจะทำ เป็นไปไม่ได้ที่งานของคุณจะไม่กระทบคู่สามีหรือภรรยาของคุณเลย ดังนั้นคุณต้องไม่พยายามลากคู่ครองของคุณเข้าไปเสี่ยงโดยไม่เต็มใจ

จงทำให้มิตรภาพจากการระดมความคิดเข้ามาอยู่ในชีวิตแต่งงานของคุณด้วยตั้งแต่ต้น แล้วสิ่งนี้จะช่วยสนับสนุนคุณ แม้ในช่วงที่ไม่เห็นแสงสว่างแห่งชีวิต ความเป็นจริงแล้วทุกคนในครอบครัวจะถูกรวมเข้ามาเป็นพันธมิตรของคุณด้วย ถ้าขาดความสามัคคีในบ้าน งานการก็อาจมีปัญหาตามไปด้วย ครอบครัวที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นทีมงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

การระดมความคิดและอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล

 แหล่งที่มาของพลังส่วนหนึ่งของคุณมาจากอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล การที่คนตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมมือร่วมใจกันด้วยจิตวิญญาณแห่งความสมัครสมานสามัคคี และทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ชัดเจน นั่นหมายความว่า เขาได้วางตัวเองให้อยู่ในตำแหน่งที่จะซึมซับพลังแห่งจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ซึ่งก็คือสิ่งที่ผมระบุว่าเป็นอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล นี่คือแหล่งพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นแหล่งซึ่งอัจฉริยบุคคลและผู้นำที่ยิ่งใหญ่ใช้ (ไม่ว่าเขาจะรู้ความจริงนี้หรือไม่ก็ตาม)

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สุนทรพจน์มูลค่าพันล้านดอลลาร์



จากหนังสือ  คิดแล้วรวย 
 
  ค่ำวันที่ 12 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1900 ผู้ทรงอิทธิพลทางการเงินระดับประเทศ 80 คน ได้มาอยู่ร่วมกันในงานจัดเลี้ยงของยูนิเวอร์ซิตี้คลับ เพื่อเป็นเกียรติแก่ชายหนุ่มผู้หนึ่งจากฝั่งตะวันตก มีแขกในงานไม่รู้กี่คนที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นพยานแห่งความสำเร็จของประวัติศาสตร์อุตสาหกรรม

    เกาะแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1865 โดยกลุ่มคนที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยต่างๆ  เพื่อสานต่อความสัมพันธ์หลังจบการศึกษา ต่อมาใช้เพื่อแสดงงานศิลปะ และเป็นที่ประชุม   สังสรรค์เฉพาะสมาชิก ซึ่งมักเป็นเศรษฐีและบุคคลที่มีชื่อเสียง (ปัจจุบันจัดเป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าของสหรัฐอเมริกา)

     เจ. เอ็ดเวิร์ด ชิมมอนส์ และชาร์ลส์ สจ็วต สมิท รู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณ ชาร์ลส์ เอ็ม. ชวอบ เป็นอย่างมาก พวกเขาได้พบปะกับชวอบที่พิตสเบิร์กจึงได้จัดงานเลี้ยงอาหารเย็นนี้ขึ้นเพื่อแนะนำตัวชวอบ
นักอุตสาหกรรมเหล็กวัย 38 ปี ให้กับสมาคมธนาคารฝั่งตะวันออก  พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเรื่องตื่นเต้นอะไรในงานนี้

     ความจริงแล้ว ผู้คนชาวนิวยอร์กที่อยู่ในงานไม่ค่อยสนใจกับเรื่องศิลปะการพูดเท่าใดนัก หากไม่ต้องการให้แขกในงาน เช่น  ตระกูลสติลล์แมนส์, แฮรี่แมนส์ และแวนเดอร์บิลต์ เบื่อหน่าย เขาก็ควรจะจำกัดคำพูดเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ แม้แต่จอห์น เปียร์ปองต์ มอร์แกน ซึ่งนั่งอยู่ด้านขวาของชวอบ ก็เพียงแต่กล่าวขอบคุณสั้นๆ เท่านั้น  จนทำให้สื่อมวลชลที่ไปทำข่าวกังวลว่าวันพรุ่งนี้อาจไม่มีข่าวไปลงตีพิมพ์

     ดังนั้นเจ้าภาพทั้งสองและแขกพิเศษจึงนั่งรับประทานอาหารไปโดยสนทนากันเพียงเล็กน้อยเป็นเรื่องทั่วๆ ไป มีนายธนาคารและนายหน้าซื้อขายไม่กี่คนที่เคยพบกับชวอบ ผู้ซึ่งดำเนินธุรกิจกับธนาคารโมนอนกาเฮลา ไม่ค่อยมีใครรู้จักมักคุ้นกับเขา แต่ก่อนที่ค่ำคืนนั้นจะผ่านไป พวกเขาทุกคนรวมไปถึงเจ้าพ่อวงการเงินมอร์แกน ต่างก็ถูกชักชวนให้หลงใหล และแล้วเด็กหนุ่มพันล้านแห่งบริษัทยูไนเต็ดสเตตสตีล ก็ได้แจ้งเกิดขึ้นในงานนี้เอง


     โชคไม่ดีนักที่ไม่มีการบันทึกสุนทรพจน์ของชาร์ลส์ ชวอบ ในค่ำคืนนั้น อย่างไรก็ตาม มันเป็นสุนทรพจน์ง่ายๆ ที่สำนวนอาจไม่ดีนัก (ชวอบไม่ค่อยใส่ใจกับการพิถีพิถันในการใช้ภาษามากนัก)
แต่เต็มไปด้วยคำคม และมีพลังกระตุ้น จนมีผลทำให้เกิดการรวบรวมเงินได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์
หลักจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงการระดมเงินก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าชวอบจะพูดนานถึง 90 นาที
มอร์แกนยังได้ขอพูดคุยนอกรอบต่ออีกเป็นชั่วโมง

      มหัศจรรย์แห่งบุคลิกภาพของชวอบได้เป็นที่ประจักษ์และทรงพลังอย่างยิ่งแต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ
โครงการที่ชัดเจนในการเพิ่มพูนมูลค่าของเหล็กกล้า มีคนมากมายพยายามทำให้มอร์แกนสนใจในการผูกขาดกิจการการค้าเหล็กกล้า หลังจากได้ผูกขาดกิจการต่างๆไปแล้ว เชน ขนมปังกรอบ สายโทรเลข น้ำตาล ยาง วิสกี้ น้ำมัน และหมากฝรั่ง

      จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ เป็นนักเก็งกำไร ซึ่งสนใจในเรื่องการควบรวมอุตสาหกรรมเหล็กกล้า แต่มอร์แกนไม่ค่อยไว้ใจในเขา ส่วนพี่น้องตระกูลมัวร์ บิล และจิม นักค้าหุ้นแห่งชิคาโก ผู้ซึ่งเคยควบรวมกิจการบริษัทขนมปังกรอบก็สนใจเช่นกัน แต่ในที่สุดก็ล้มเหลว ส่วน อัลเบิร์ต เอช. แกรี่ นักกฎหมายระดับประเทศก็สนใจ แต่กิจการเขาไม่ใหญ่พอที่จะดำเนินการได้
   
      จนกระทั่งสุนทรพจน์ของชวอบนี่เองที่ทำให้ เจ. พี. มอร์แกน มองเห็นภาพการทำธุรกรรมทางการเงินอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้ว่าโครงการนั้ดูเหมือนเป็นความเพ้อฝันก็ตาม  การระดมเงินทุนซึ่งได้เริ่มต้นมาเกือบหนึ่งชั่วอายุคนแล้ว  ได้ดึงดูดบริษัทขนาดเล็กนับพันที่มีปัญหาการบริหารจัดการเข้ามารวมกันเป็นบริษัทใหญ่ที่มีศักยภาพมากขึ้น

     นักธุรกิจเจ้าเล่ห์ จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ ได้เข้าสู่สงครามการแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าด้วยการก่อตั้งบริษัทอเมริกันสตีลแอนด์ไวร์ และยังได้ร่วมกับมอร์แกนสร้างบริษัทเฟเดอรัลสตีลอีกด้วย


     ส่วนทางด้านของ แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ก็มีการควบรวมกิจการให้ใหญ่ขึ้น  ด้วยการรวมหุ้นส่วนธุรกิจทั้งสิ้น 53 บริษัท ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ควบรวมกิจการอีกแต่เป็นบริษัทเล็กๆ  และไม่มีความสำคัญ บริษัทเล็กๆ เหล่านี้พยายามรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แต่เกือบทุกบริษัทไม่สามารถทำลายองค์กรขนาดใหญ่ของคาร์เนกีได้ เรื่องนี้มอร์แกนก็รู้ดี และคาร์เนกีก็รู้เช่นกัน

     ด้วยวิสัยทัศน์อันสูงส่งของคาร์เนกี ครั้งแรกดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่ต่อมากลับลายเป็นความแค้นเคือง
กลุ่มบริษัทเล็กๆ ของมอร์แกนพยายามสกัดกั้นธุรกิจของคาร์เนกี เมื่อพยายมทำกันจนรุนแรงเกินไป
อารมณ์ของคาร์เนกีก็เปลี่ยนเป็นความโกรธและตอบโต้กลับไป เขาตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานเหล็กประกบกับคู่แข่งทางธุรกิจ ทั้งๆ  ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจผลิตภัณฑ์ประเภทลวด ท่อเหล็ก ห่วง หรือเหล็กแผ่นเลย  เขาพอใจที่จะผลิตเฉพาะเหล็กกล้าซึ่งเป็นวัตถุดิบเพื่อให้คนอื่นนำไปแปรรูป

     เขาได้เริ่มทำผลิตภัณฑ์เหล็กทุกรูปแบบที่ต้องการ คาร์เนกีได้ร่วมกับชวอบซึ่งขณะนั้นทำงานเป็นผู้จัดการ เพื่อวางแผนที่จะทำให้คู่แข่งหลังชนกำแพง  ดังนั้นจากสุนทรพจน์ของ ชาร์ลส์ เอ็ม. ชวอบ มอร์แกนจึงได้มองเห็นปัญหาในการควบรวมบริษัทอื่นๆ ว่า การควบรวมกิจการจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้เลย ถ้าปราศจากคาร์เนกียักษ์ใหญ่แห่งวงการ

    สุนทรพจน์ของชวอบในค่ำคืนของวันที่ 12 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1900 ได้แสดงให้เห็นอย่างไร้ข้อสงสัยว่า
มอร์แกนสามารถเข้าไปครอบครองอาณาจักรธุรกิจอันกว้างใหญ่ไพศาลของคาร์เนกีได้ เขาได้พูดถึงโลกแห่งอนาคตของเหล็ก  การปรับปรุงองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานเหล็กที่ไม่ประสบความสำเร็จและการสร้างสินทรัพย์ให้เพิ่มขึ้น การขนส่งสินแร่ การบริหารจัดการ และการเข้าสู่ตลาดในประเทศ

     ยิ่งกว่านั้น เขายังได้พูดถึงคนที่คิดไม่ซื่อซึ่งรอจังหวะความผิดพลาดของผู้อื่น พยายามผูกขาดการค้าขายแต่เพียงผู้เดียว ปั่นราคา คอยรอรับเงินปันผล ชวอบได้ประณามระบบที่เลวร้ายนี้ นโยบายที่ไม่มีวิสัยทัศน์นี้จะไปจำกัดตลาดการค้า สวนทางกับการเรียกร้องของผู้คนที่ต้องการให้ธุรกิจทั้งหมดขยายตัว เขาเสนอว่าถ้าราคาเหล็กถูกลง ตลาดการค้าเหล็กจะขยายตัว การให้เหล็กก็จะมากขึ้น และสามารถขยายการค้าไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลก

      อาจไม่ค่อยมีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วชวอบมีหัวคิดดีมากในเรื่องการผลิตสมัยใหม่ ดังนั้นงานเลี้ยงที่ยูนิเวอร์ซิตี้คลับคืนนั้น จึงได้นำมาซึ่งบทสรุป  มอร์แกนกลับบ้านแล้วนั่งคิดเกี่ยวกับการคาดการณ์ของชวอบ  ส่วนชวอบก็กลับไปพิตสเบิร์กเพื่อเริ่มดำเนินธุรกิจให้คาร์เนกีต่อไป ขณะที่แกรี่และคนอื่นที่เหลือกลับไปเตรียมติดตามกระดานหุ้น

      เวลาผ่านไปไม่นานนัก มอร์แกนใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการพิจารณาเหตุและผลที่ชวอบได้บอกไว้ เมื่อเขายืนยันกับตัวเองว่า ไม่มีอุปสรรคทางการเงินสำหรับเขาแต่อย่างใด เขาจึงได้ติดต่อและขอพบกับชวอบ ชวอบบอกเขาไปว่าคาร์เนกีคงไม่พอใจนักถ้ารู้ว่าประธานกรรมการบริษัทของเขาติดต่ออย่างสนิทสนมกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งวอลล์สตรีต จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ ได้แนะนำว่า ถ้าชวอบปรากฏตัวในโรงแรมเบลเลอวู รัฐฟิลาเดลเฟียแล้วล่ะก็ เจ. พี. มอร์แกน ก็อาจไปอยู่ที่นั่นโดยบังเอิญ แต่เมื่อชวอบมาถึงที่นั่นแล้ว บังเอิญมอร์แกนเกิดป่วยกะทันหันอยู่ที่บ้านในนิวยอร์ก เขาจึงได้เชิญชวอบให้ไปพบ

       ชวอบเดินทางไปนิวยอร์กเพื่อพบกับนักการเงินผู้ยิ่งใหญ่ที่ห้องสมุดในบ้านพักของเขา ถึงตอนนี้นักประวัติศาสตร์ทางเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบของละครเรื่องนี้ แอนดรูว์ คาร์เนกี เป็นคนจัดฉากทั้งหมด ตั้งแต่การกล่าวสุนทรพจน์ของชวอบในงานเลี้ยงอาหารค่ำไปจนถึงการพูดคุยกับมอร์แกนราชาแห่งการเงินในคืนวันอาทิตย์ แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

     กล่าวคือ เมื่อชวอบถูกมอร์แกนเรียกมาจัดการข้อตกลงให้สำเร็จผล ชวอบเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคาร์เนกีที่เขาเรียกว่า  “นายน้อย” นั้น จะสนใจรับฟังการเสนอซื้อขายครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน  โดยเฉพาะขายให้กับคนกลุ่มคนที่คาร์เนกีค่อนข้างดูแคลน   ชวอบตอบรับการประชุมด้วยข้อความซึ่งเขียนด้วยลายมือถึง 6 หน้ากระดาษ   บรรยายถึงศักยภาพของบริษัทเหล็กแต่ละแห่งที่เขาระบุว่าเป็นดาวรุ่ง

       ทั้งสี่คนได้ไตร่ตรองเรื่องนี้ตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าผู้นำการพูดคุยคือ มอร์แกน ผู้ซึ่งมีความเชื่อว่าเงินคือพระเจ้า คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับเขาคือหุ้นส่วนธุรกิจมีระดับโรเบิร์ต เบคอน คนที่สามคือ  จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ ผู้ซึ่งมอร์แกนดูหมิ่นว่าเป็นพวกเก็งกำไร แต่ก็ใช้เขาเป็นลูกมือ คนที่สี่คือ ชวอบ  ผู้รอบรู้เรื่องการผลิตและขายเหล็กมากกว่าใครทั้งหมด

       ตลอดการประชุมนั้นไม่มีใครติดใจสงสัยในข้อมูลของชวอบ ถ้าเขาบอกว่าบริษัทไหนคุ้มค่ากับการลงทุน  มันก็เป็นตามนั้น นอกจากนี้เขายังยืนยันให้ควบรวมกิจการเฉพาะบริษัทที่เขาเสนอมาเท่านั้น
เขานำเสนอแต่บริษัทใหญ่ๆ ที่จะไม่มีการแยกกันอีกต่อไป และไม่เอาใจกลุ่มเพื่อนของมอร์แกนซึ่งโลภมากต้องการโยนบริษัทตัวเองให้มอร์แกนรับผิดชอบภาระทางการเงิน

     เมื่อรุ่งอรุณมาถึง มอร์แกนลุกขึ้นยืน ถามคำถามเดียวที่ยังเหลืออยู่ เขาถามชวอบว่า

“คุณคิดว่าคุณสามารถโน้มน้าวให้แอนดรูว์ คาร์เนกี ตัดสินใจขายกิจการหรือไม่?” 

“ผมจะลองดู” ชวอบตอบ
“ถ้าคุณทำให้เขายอมขาย ผมจะตกลงตามที่คุณเสนอ” มอร์แกนกล่าว


   เท่านี้ก็น่าพอใจ แต่คาร์เนกีจะขายเท่าไร? เขาต้องการเงินเท่าไร? (ชวอบคิดไว้ว่าประมาณ 320 ล้านดอลลาร์) เงื่อนไขของการจ่ายจะเป็นอย่างไร? หุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ? พันธบัตร? หรือเงินสด?
น่นอนว่าไม่มีใครจ่ายเงินมากขนาดนั้นด้วยเงินสดได้ ในการแข่งขันกอล์ฟที่สนามในเซนต์แอนดรูว์ เมืองเวสต์เชสเตอร์ คาร์เนกีสวมเสื้อหนาว  และชาร์ลีก็ยังคงพูดไม่หยุดเหมือนเคย แต่ไม่มีการพูดคุยเรื่องธุรกิจ

     จนกระทั่งได้นั่งคุยกันในเรือนรับรองของคาร์เนกี เช่นเดียวกับที่ได้เกลี้ยกล่อมให้มหาเศรษฐี 80 คนที่ยูนิเวอร์ซิตี้คลับเคลิบเคลิ้มมาแล้ว ชวอบให้สัญญากับคาร์เนกีถึงช่วงเกษียณอายุแสนสบายด้วยเงินหลายล้านเพื่อให้เขาพอใจ ในที่สุดคาร์เนกีก็ยินยอม เขาเขียนตัวเลขใส่กระดาษ ยื่นส่งให้ชวอบแล้วพูดว่า “เอาล่ะ นั่นคือราคาที่เราจะขาย”  ตัวเลขนั้นประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ มันใกล้เคียงกับที่ชวอบเคยกำหนดไว้คือ 320 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มให้อีก 80 ล้านดอลลาร์ สำหรับมูลค่าที่เพิ่มขึ้นใน 2 ปีผ่านมา

     ต่อมาบนดาดฟ้าเรือทรานส์แอตแลนติก คาร์เนกีกล่าวกับมอร์แกนว่า

 “ผมคิดว่า ผมต้องการเงินเพิ่มอีก 100 ล้านดอลลาร์”  

“ถ้าคุณขอมา ผมก็ให้”  มอร์แกนตอบอย่างอารมณ์ดี

  เมื่อผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษได้รับโทรเลขว่า บริษัทเหล็กระดับโลกในต่างประเทศมีการควบรวมกิจการกัน
ย่อมกลายเป็นข่าวใหญ่อย่างแน่นอน ประธานแฮดเลย์แห่งเยล ถึงกับประกาศว่า ในรอบ 25 ปี  จากนี้ไปจะไม่มีการควบรวมกิจการยิ่งใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นให้เห็นอีก คีน-นักค้าหุ้นรีบกลับไปทำงานของเขาคือ นำหุ้นตัวใหม่ให้สาธารณชนรับรู้ถึงเงินทุนอันมหาศาลเกือบ 600 ล้านดอลลาร์ คาร์เนกีได้เงินล้านของเขา

    มอแกนได้ 62 ล้านดอลลาร์สำหรับความพยายามในครั้งนี้ รวมไปถึงเกตส์ และแกรี่ก็ได้เงินล้านเช่นกัน

ความร่ำรวยเริ่มจากความคิด


     เรื่องราวของธุรกิจใหญ่ที่คุณได้อ่านจบไปแล้วนั้น  เป็นการอธิบายได้อย่างดีถึงวิธีที่จะเปลี่ยนเป็นปณิธานไปสู่ผลในทางปฏิบัติ  องค์กรยักษ์ใหญ่นั้นเกิดจากจิตใจของคนเพียงคนเดียว  การวางแผนให้องค์กรอุตสาหกรรมเหล็กกล้ามีความมั่นคงทางการเงิน  ก็เกิดจากการสร้างสรรค์ของคนคนเดียวกัน ศรัทธา ปณิธาน จินตนาการ และความมุ่งมั่นของเขา  อันเป็นส่วนประกอบสำคัญในการถือกำเนิดของยูไนเต็ดสเตตสตีล

     มูลค่าการซื้อขายโรงงานถลุงเหล็กและอุปกรณ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายนี้ดูสมเหตุสมผล แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนพบว่า การประเมินสินทรัพย์ของบริษัทนั้น มูลค่าของมันได้เพิ่มขึ้นถึง 600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน)  การเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์นี้ก็เนื่องมาจากการบริหารจัดการเพื่อรวบรวมธุรกิจให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง

   ไอเดียของ ชาร์ลส์ เอ็ม. ชวอบ รวมกับศรัทธาที่ถูกส่งผ่านเข้าไปสู่จิตใจของ เจ. พี. มอร์แกน และคนอื่น กลายเป็นผลกำไรถึง 600 ล้านดอลลาร์ ผลกำไรนี้มาจาก “ความคิด” อย่างเดียวเท่านั้น บริษัทยูไนเต็ดสตีลเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นบริษัทที่ร่ำรวยและยิ่งใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งในสหรัฐอเมริกา จ้างงานคนนับพันคนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นตลาดการค้าเพิ่มขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงผลกำไร 600 ล้านดอลลาร์ที่ชวอบใช้ความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา

   ความร่ำรวยเริ่มต้นมาจากความคิด ส่วนจะได้มากน้อยเพียงไรนั้น ขึ้นกับความคิดในจิตใจของแต่ละคนที่จะนำไปลงมือปฏิบัติ ศรัทธาจะทำลายอุปสรรคต่างๆ จงจำไว้ว่า เมื่อคุณพร้อมที่จะเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อสิ่งที่คุณต้องการ รางวัลแห่งความสำเร็จจะรอคุณอยู่

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อารมณ์แห่งศรัทธา ความเชื่อ และจิตใจ

ศรัทธา ความเชื่อ เป็นปัจจัยสำคัญของจิตใจ


     เมื่อศรัทธาหลอมรวมเข้ากับความคิดจะทำให้จิตใต้สำนึกสามารถรับรู้คลื่นความคิดนั้น  จิตใต้สำนึกจะแปลความหมายและส่งมันไปสู่อัจฉริยภาพแห่งจักรวาล(infinite intelligence)

    อารมณ์แห่งศรัทธา ความรัก และกามารมณ์ เป็นอารมณ์เชิงบวกที่ทรงพลังที่สุด  เมื่อสามสิ่งนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันมันจะแต่งแต้มสีสันให้กับความคิด  ซึ่งจะทำให้มันสามารถเข้าสู่จิตใต้สำนึกได้  ที่นั่นมันจะถูกแปรเปลี่ยนไปสู่รูปแบบซึ่งพร้อมที่จะรับการตอบสนองจากอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล

     ข้อความต่อไปนี้สำคัญมาก ในการทำความเข้าใจกับความสำคัญของการเสนอแนะตัวเอง  เพื่อแปรเปลี่ยนปณิธานไปเป็นสิ่งที่จับต้องได้และเงินทอง

คำว่า "ศรัทธา"  หมายถึงสภาวะจิตใจที่จะถูกชักนำและสร้างสรรค์ด้วยการยืนยันหรือออกคำสั่งซ้ำๆ ไปยังจิตใต้สำนึก  ผ่านหลักการของการเสนอแนะตัวเอง

การยืนยันกับตัวเองซ้ำๆ นี้   เหมือนกับการออกคำสั่งกับจิตใต้สำนึกของคุณและมันเป็นวิธีการเดียวในการเสริมสร้างอารมณ์แห่งศรัทธา   (ความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าคุณสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้)

ลองพิจารณาว่า 

   ทำไมคุณจึงได้มาพบกับข้อความนี้ นั่นเพราะคุณต้องการที่จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงพลังความคิดแห่งปณิธาน  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้เปลี่ยนเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งรวมไปถึงเงินทองด้วย  คำแนะนำนี้วางอยู่บนพื้นฐานของ การเสนอแนะตัวเองและจิตใต้สำนึก

   และคุณจะได้เรียนรู้เทคนิคที่จะทำให้จิตใต้สำนึกเชื่อว่า ตัวคุณเองมีความเชื่อในสิ่งที่ร้องขอจิตใต้สำนึกจะจัดการกับความเชื่อนั้น และส่งมันกลับมาหาคุณในรูปแบบของ “ศรัทธา”  ตามมาด้วยแผนการที่จะนำสิ่งที่คุณได้ตั้งปณิธานไว้มาให้คุณ

   คุณจะต้องพัฒนาสภาวะจิตใจแห่งความมีศรัทธาในตัวเองและศักยภาพของตัวเองให้เกิดขึ้นมา  เป็นความจริงที่ว่า  "ศรัทธา"  เป็นสภาวะจิตใจที่จะพัฒนาให้เกิดในตัวคุณเองได้ตามธรรมชาติก็ต่อเมื่อคุณได้นำหลักการเหล่านี้ไปใช้  อารมณ์หรือความรู้สึกแห่งห้วงความคิด  เป็นสิ่งที่ทำให้ความคิดของคุณมีชีวิตชีวาและจะส่งผลต่อกิจกรรมที่จะทำต่อไป

     อารมณ์แห่งศรัทธา อารมณ์รัก และกามารมณ์  เมื่อผสมผสานเข้ากับพลังความคิดจะนำไปสู่การปฏิบัติที่สัมฤทธิผลความคิดที่ถูกเจือปนด้วยอารมณ์  (ความรู้สึก) และผสมผสานด้วยศรัทธา (ความเชื่อในศักยภาพของตนเอง)  จะเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพของตัวมันเองอย่างมีปฏิสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามความจริงข้อนี้ไม่ได้เกิดเฉาะกับพลังความคิดที่เปี่ยมด้วยศรัทธาเท่านั้น แต่เป็นจริงกับทุกอารมณ์รวมไปถึงอารมณ์เชิงลบด้วย

     นั่นก็หมายความว่า  จิตใต้สำนึกนั้นจะแปรเปลี่ยนไปสู่พลังความคิดเชิงลบหรือในทางทำลายล้างได้เช่นเดียวกันกับการแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือสร้างสรรค์นักอาชญาวิทยาได้เคยพูดถึงประเด็นนี้ไว้ว่า

“ครั้งแรกที่คนเราสัมผัสกับอาชญากรรม จะรังเกียจมัน แต่ถ้าเขายังเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่อไปอีกระยะหนึ่ง จะเริ่มเคยชินและทนกับมันได้ เขาจะรับมันไว้และถูกครอบงำในที่สุด” 

    นี่เป็นปฏิสัมพันธ์ของพลังความคิดเชิงลบที่ได้ผ่านเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกมากพอ  จนทำให้จิตใต้สำนึกยอมรับมันในที่สุด จิตใต้สำนึกจะแปรเปลี่ยนพลังนั้นให้เกิดผลในทางปฏิบัติ  นี่คือคำอธิบายว่าทำไมปรากฏการณ์เลวร้ายจึงมักเกิดขึ้นกับคนนับล้านที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย  มีผู้คนนับล้านที่เชื่อในเคราะห์กรรมของตัวเองที่ยากไร้และล้มเหลว  เพียงเพราะพลังที่เขาเรียกว่าความโชคร้าย และมีความเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมได้

ความเป็นจริงแล้วตัวพวกเขาเองต่างหากที่เป็นผู้สร้างความอับโชคให้ตัวเอง  เนื่องจากความเชื่อในโชคร้าย  ได้เข้าไปสู่จิตใต้สำนึกแบบแปรเปลี่ยนไปสู่ผลในทางปฏิบัติ ความเชื่อหรือศรัทธาของคุณเป็นรากฐานที่จะกำหนดการทำงานของจิตใต้สำนึก ดังนั้นผมจึงขอเน้นย้ำว่า คุณจะได้ประโยชน์จากการส่งปณิธานที่คุณปรารถนาลงไปสู่จิตใต้สำนึก เพื่อแปรเปลี่ยนให้เกิดผลในทางปฏิบัติหรือเป็นเงินทอง

จิตใต้สำนึกจะแปรเปลี่ยนให้เกิดผลในทางปฏิบัติด้วยวิถีทางที่สะดวกและตรงที่สุด  คำสั่งใดก็ตามที่ลงไปสู่จิตใต้สำนึกด้วยความเชื่อและศรัทธาย่อมจะบังเกิดผล  โปรดสังเกตประเด็นนี้ให้ดี เนื่องจากมันเป็นหนทางที่จะทำให้จิตใต้สำนึกทำงาน

เมื่อคุณให้คำแนะนำจิตใต้สำนึกด้วยการเสนอแนะตนเองแล้ว คุณจะสามารถหลอกล่อจิตใต้สำนึกได้โดยไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งคุณ ตัวผมเองก็เคยได้ใช้วิธีนี้หลอกล่อจิตใต้สำนึกของผม

 เมื่อคุณจะเรียกใช้จิตใต้สำนึกโดยการหลอกล่ออย่างแนบเนียนนั้น  คุณจะต้องทำตัวเองให้เสมือนว่าได้ครอบครองสิ่งที่ต้องการไว้เรียบร้อยแล้ว

    คุณจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นอารมณ์เชิงบวกให้เป็นกำลังหลักของจิตใจ อย่างไรก็ตามศรัทธาในตัวคุณไม่ได้มาจากการอ่านเพียงแค่คำแนะนำ  คุณจะต้องเข้าใจทฤษฎีอย่างถ่องแท้และเริ่มนำมันไปปฏิบัติ
ด้วยประสบการณ์และการลงมือปฏิบัติจะทำให้คุณสามารถพัฒนาศักยภาพในการผสมผสานศรัทธาเข้ากับคำสั่งที่ส่งลงไปในจิตใต้สำนึกได้

    เมื่อคุณมีศรัทธาในความสามารถของตัวเองแล้ว คุณจะสามารถออกคำสั่งต่อจิตใต้สำนึกได้  ซึ่งจิตใต้สำนึกจะยอมรับและตอบสนองในทางปฏิบัติทันที การที่จิตใจของคุณมีอารมณ์เชิงบวกเป็นหลัก
จะช่วยสนับสนุนให้เกิดศรัทธาขึ้นในจิตใจ

ศรัทธาในตัวเองเป็นสภาวะจิตใจ ที่คุณสามารถสร้างได้ด้วยการเสนอแนะตนเอง

ตลอดทุกช่วงวัยของเรา ผู้นำทางศาสนามักจะตักเตือนให้ผู้คน “มีศรัทธา” เมื่อเขากล่าวถึงการมีศรัทธา จะดูเหมือนว่าไม่มีเหตุผล เป็นแค่หลักความเชื่อทางศาสนา แต่สิ่งที่พวกเขาพลาดก็คือ ไม่ได้บอกว่าการจะมีศรัทธานั้นทำอย่างไร พวกเขาไม่ได้บอกให้รู้ว่า

“ศรัทธาเป็นสภาวะจิตใจที่สร้างขึ้นมาได้ด้วยการเสนอแนะตนเอง” 

ในบล็อกนี้ ได้อธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายถึงหลักการเพิ่มศักยภาพในตัวคุณ  เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายด้วยศรัทธาซึ่งเดิมเราไม่ได้มีมาก่อน  ก่อนที่เราจะเริ่มต้น คุณควรจะถูกย้ำเตือนอีกครั้งว่า

ศรัทธา เป็น “น้ำทิพย์อมตะ” ที่ให้ชีวิต ให้พลัง และให้ผลในทางปฏิบัติแก่พลังความคิด  ข้อความข้างบนนี้มีคุณค่าในการอ่านซ้ำ 2 ครั้ง , 3 ครั้ง และ 4 ครั้ง มันยิ่งมีคุณค่าถ้าคุณอ่านออกมาดังๆ
ศรัทธา เป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งร่ำรวย 
ศรัทธา เป็นพื้นฐานของความมหัศจรรย์ และความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายด้วยกฎทางวิทยาศาสตร์
ศรัทธา เป็นภูมิต้านทานความล้มเหลวเพียงอย่างเดียวที่เรารู้จัก
ศรัทธา เป็นสิ่งสำคัญในการผสมผสานกับปณิธาน เพื่อทำให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับอัจฉริยภาพ
แห่งจักรวาลได้
ศรัทธา เป็นสิ่งสำคัญในการแปรเปลี่ยนคลื่นความคิดที่สร้างสรรค์จากจิตใจให้เข้าไปสู่จิตวิญญาณ
ศรัทธา เป็นวิถีทางเดียวที่จะควบคุมอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล และนำไปใช้ประโยชน์

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อุปสรรคเพียงครั้งคราว แต่ความสำเร็จอยู่นาน


หนึ่งในสาเหตุของความล้มเหลวที่พบบ่อยที่สุดคือ การที่คนเราพบอุปสรรคแล้วท้อถอยไปเสียก่อน  ทั้งๆที่จริงแล้วอุปสรรคนั้นอยู่แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น 

      เมื่อเกิดความผิดพลาดเพียงครั้งหรือสองครั้งแรกก็ทำให้ทุกคนรู้สึกผิด  ระหว่างยุคตื่นทองของสหรัฐอเมริกา บุรุษชื่อ อาร์.ยู.ดาร์บี้ ก็มีคุณลุงที่เป็นโรคตื่นทองเหมือนกัน  เขารีบเดินทางไปฝั่งตะวันตกที่โคโลราโด เพื่อไปขุดทองคำและคาดหวังว่าจะร่ำรวย   เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนเราสามารถขุดทองได้จากความคิดของเราเอง  ซึ่งอาจมีมูลค่ามากกว่าขุดจากพื้นดินเสียอีก เขาขอสิทธิ์ในการขุดทองคำ
แล้วจึงเริ่มเข้าไปทำงานขุดและร่อนทอง


    หลังจากทำงานได้หลายสัปดาห์ เขาได้รับรางวัลแห่งความพยายามคือ ขุดพบแร่ทองคำเหลืองอร่ามเขารีบปิดเหมืองทองเล็กๆของเขา  โดยไม่บอกให้ใครรู้และกลับไปบ้านเกิดที่วิลเลียมเบิร์ก รัฐแมรีแลนด์เขาบอกกับญาติและเพื่อนบ้านบางคนถึงการค้นพบทองคำ  พวกเขาได้รวบรวมเงินกันเพื่อสร้างเหมืองขุดเจาะทองคำ อาร์.ยู.ดาร์บี้ ได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับลุงของเขา  และรีบกลับไปทำงานที่เหมืองต่อ

     หลุมแรกถูกขุด เมื่อได้ทองคำแล้วก็ส่งไปหลอม  ผลตอบแทนที่ได้กลับมาพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในเจ้าของเหมืองทองคำที่รวยที่สุดในโคโลราโด  ถ้าเขาเจอทองคำอีกสักสองสามหลุม นอกจากจะล้างหนี้สินได้ทั้งหมดแล้วยังสามารถสร้างผลกำไรได้มหาศาล  ยิ่งขุดลึกลงไปเท่าไหร่ ความหวังของดาร์บี้และลุงของเขายิ่งมากขึ้นเท่านั้น

      แต่แล้วก็มีบางสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นคือ เมื่อขุดต่อไปกลับไม่พบแร่ทองคำอีกเลย ความหวังพังทลายลง เขาพยายามขุดต่อไปอีกแต่ก็ยังไม่พบทองคำ  ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจที่จะหยุด  เขาขายเหมืองทองคำนั้นต่อให้พ่อค้าซื้อขายของเก่าคนหนึ่งในราคาเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์  แล้วนั่งรถไฟกลับบ้าน

      ภายหลังพ่อค้าคนนั้นได้ขอคำปรึกษาจากวิศวกรพบว่า  โครงการนี้ล้มเหลวเพราะเจ้าของเหมืองไม่คุ้นเคยกับเส้นทางของสายแร่ทองคำ จากการคำนวณ วิศวกรบอกว่าแหล่งแร่ทองคำอยู่ห่างออกไปแค่ 3 ฟุต จากจุดที่ดาร์บี้หยุดขุด  เหมืองแร่ทองคำนั้นได้ทำเงินให้พ่อค้าคนนั้นนับล้านดอลลาร์  เพียงเพราะเขารู้ว่าควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจ

      หลังจากนั้น  ดาร์บี้ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะเอาเงินทุนกลับคืนมา เขาค้นพบว่าปณิธานสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองได้  การเข้าสู่ธุรกิจขายประกันชีวิตทำให้เขาค้นพบตัวเอง  อย่าลืมว่าเขาสูญเสียโชคลาภไปเพราะว่าหยุดไปเสียก่อน ทั้งๆที่อีก 3 ฟุตก็จะถึงทองคำ ดาร์บี้ได้กำไรงามจากงานใหม่ เขาพูดกับตัวเองว่า

 “ผมเคยหยุดขุดทั้งๆที่อีก 3 ฟุตก็จะถึงทองคำ  ดังนั้นเวลาขยายประกัน ผมจึงไม่เคยหยุดขายเมื่อลูกค้าตอบว่า ‘ไม่’”

     ดาร์บี้ได้กลายเป็นหนึ่งในนักขายไม่กี่คนที่ทำยอดขายประกันชีวิตได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี  เขายึดมั่นต่อบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการล้มเลิกกลางคันในการทำธุรกิจเหมืองทองคำ

ในชีวิตจริงก่อนที่ความสำเร็จจะมาถึง เราต้องไม่หวั่นไหนต่อความล้มเหลวที่เป็นเพียงครั้งคราว

     หรือบางครั้งอาจต้องพบความพ่ายแพ้บ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ความล้มเหลวเอาชนะจิตใจเราได้
เราจะทำสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดและง่ายที่สุดก็คือ ล้มเลิกมันไปเสีย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งซึ่งคนส่วนใหญ่ทำกัน

มีผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า 500 คนในสหรัฐอเมริกา เคยบอกไว้ว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มักรออยู่
หลังจากจุดซึ่งเขาพบกับความพ่ายแพ้แค่หนึ่งก้าว ความล้มเหลวจะหลอกลวงเราด้วยการเยาะเย้ยถากถาง  มันชอบทำให้คุณสะดุดล้มเมื่อใกล้จะถึงความสำเร็จอยู่แล้ว

   คุณต้องอดทนเพื่อก้าวไปให้ถึงความสำเร็จ   และผมมีวีดีโอหนึ่งฝากไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ได้อ่านบทความถึงตอนนี้ครับ   ขอให้ทุกคนมีกำลังใจเพื่อดำเนินชีวิตต่อไปครับ  แล้วพบกันใหม่  สวัสดี

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์และวิธีเปลี่ยนนิสัยให้เป็นคนคิดบวก



คนคิดบวกในที่นี้หมายถึงคนที่มองโลกอย่างเป็นกลางไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีก็ได้ แต่ก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าคนที่มีนิสัยอย่างนี้เป็นพวกโลกสวยเชียวล่ะ เพราะพวกเขามีดีมากกว่านั้นอีก
             
          หากพูดถึงการเป็นคนคิดบวก ส่วนใหญ่คงนึกถึงอุปนิสัยมองโลกในแง่ดี มีทัศนคติที่เปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และแน่นอนว่าคงไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่าเป็นคนคิดบวก แต่ถ้าหากเรามาลองสำรวจตัวเองกันเล่น ๆ จาก 10 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกที่เรานำมาฝากนี้ อาจทำให้เราค้นพบความจริงว่าตัวเราก็เป็นคนคิดบวกนะ เพียงแต่ไม่เคยรู้มาก่อน

การคิดบวกคืออะไร
         
          จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาบุคลิกภาพและสังคมของสหรัฐอเมริกาเผยว่า การคิดบวกเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ตัวเองมีความสุข โดยที่การคิดบวกนั้นไม่ใช่การคิดหาคำตอบว่าอะไรถูกหรือผิด แต่เป็นการคิดเพื่อให้เราได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังเป็นไป หลายคนเข้าใจว่าการคิดบวกต้องอาศัยหลักการทางจิตวิทยาเข้าช่วย แต่ความจริงแล้วตัวเราเองก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนคิดบวกได้ตลอดเวลา

8 สิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราคิดบวก

          เป็นที่รู้กันดีว่าการคิดบวกคือการทำให้ตัวเองมีความสุข แต่ความจริงแล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจอีกด้วยนะ โดยเฉพาะสิ่งดี ๆ ต่อไปนี้ที่จะเกิดขึ้นกับเราแน่นอนเมื่อเปลี่ยนตัวเองให้คนคิดบวก

เราจะมีระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ
             
          การคิดบวกจะทำให้เรารู้สึกอยากทำในสิ่งดี ๆ เช่น กินอาหารสุขภาพ ออกกำลังกาย และไม่เครียด ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตของเราทำงานเป็นปกติ ไม่เสี่ยงเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด เช่น หัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง  และโรคความดันโลหิตสูง

เราจะมีไขมันดีมากกว่าไขมันเลวในร่างกาย
             
          ผลการทดสอบของมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดในปี 2013 ที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร The American Journal of Cardiology  เผยว่าการคิดบวกช่วยเพิ่มระดับไขมันดีในร่างกายได้ เห็นได้จากการทดสอบกับกลุ่มอาสาสมัครวัยกลางคน อายุระหว่าง 40-70 ปี ประมาณ 990 คน ที่ทำแบบทดสอบความสุขจากพฤติกรรมประจำวัน ผลคือ อาสาสมัครส่วนใหญ่มีความสุขในชีวิตประจำวันของตัวเองดี เมื่อตรวจร่างกายพบว่ามีระดับไขมันดีสูงกว่าไขมันเลว สาเหตุเป็นเพราะคนที่มีความสุขดีในชีวิตมักจะเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าคนที่มีความเครียด

เราจะมีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรงขึ้น
         
          การคิดบวกเป็นการกระตุ้นให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานเป็นปกติ เกิดการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงการนำไปใช้เผาผลาญเป็นพลังงานที่ส่งผลให้เราแข็งแรงขึ้น เห็นได้จากคนที่ร่าเริง แจ่มใสมักไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย

เราจะมีสุขภาพกายและใจที่สมดุล
           
          ผลการวิจัยส่วนใหญ่เผยว่า คนที่มองโลกในแง่ดีมักมีสุขภาพกายและใจดีตามไปด้วย เพราะพวกเขามีเคล็ดลับอยู่เพียงสิ่งเดียวคือ การทำตัวเองให้มีความสุขด้วยการหากิจกรรมทำไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ว่าง ๆ  เช่น ออกกำลังกาย การปลูกดอกไม้ การสนทนากับเพื่อนบ้าน ออกกำลังกาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย เพราะเมื่อสุขภาพจิตดี ร่างกายก็แข็งแรงตามไม่ด้วย ไม่เจ็บป่วยง่าย และก็ไม่ต้องกินยาใด ๆ

เราจะกลายเป็นคนไม่ค่อยเครียดกับอะไรง่าย ๆ
         
          คนที่มองโลกในแง่ดีเมื่อมีปัญหามักจะรับมือได้ดีกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย ส่วนหนึ่งมาจากการที่พวกเขาเชื่อว่าทุกสิ่งจะดีขึ้นได้ เดี๋ยวก็จะผ่านไป ทำให้พวกเขาแก้ปัญหาด้วยความใจเย็นมากกว่า

เราจะกลายเป็นคนร่าเริง แจ่มใสน่าเข้าใกล้
             
          การมองโลกในแง่ดีช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเราให้กลายเป็นคนนิสัยน่ารักมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราจะมีทัศนคติที่เปิดกว้างรับฟังคนอื่น ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด ดูเป็นคนอารมณ์ดี ทำให้ใคร ๆ ก็มองว่าเรานิสัยดีน่าเข้ามาทำความรู้จัก

เราจะรับมือได้หมดทุกปัญหา
             
          การมองโลกในแง่ดีจะทำให้เรามีสติในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล  จากผลการวิจัยเผยว่าการมองโลกในแง่ดีทำให้เราไม่รีบร้อนตัดสินเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้า เราจะไม่คิดฟุ้งซ่านเติมแต่งปัญหาให้ใหญ่โตขึ้น และเราจะมีสติมองออกว่าแก่นแท้ของปัญหานั้นอยู่ตรงไหน ทำให้เราสามารถค้นพบทางออกของปัญหาได้อย่างง่ายดาย

เราจะมีอายุยืน

          ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยลอนดอนได้ทำการทดสอบเรื่องการคิดบวกสัมพันธ์กับการมีอายุยืนอย่างไร โดยได้ทำทดสอบกับกลุ่มอาสาสมัครที่มีอายุยืนเกินร้อยปีขึ้นไปประมาณ 243 คน ด้วยการให้ทำแบบสอบถามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ผลปรากฏตรงกันว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่มักมีไลฟ์สไตล์ชอบท่องเที่ยว ชอบเดินทางไปเปิดหูเปิดตาต่างถิ่น พวกเขาเชื่อว่าการเดินทางทำให้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ได้พบเห็นโลกในมุมที่กว้างขึ้น ปล่อยวางอะไรได้มากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนคิดบวกขึ้นนั่นเอง

พลังแห่งการคิดบวกบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้

          จากผลการวิจัยในปี 1990 เผยว่าคนที่มองโลกในแง่ร้ายมักจะมีอาการป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ สาเหตุหลักมาจากการที่สุขภาพจิตใจอ่อนแอ ดังนั้นใครที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังไม่ยอมหายสักที ลองมาเช็กตัวเองว่าอาการป่วยที่มักเกิดบ่อย ๆ นั้น ติดอันดับ 1 ใน 15 อาการป่วยที่มาจากการคิดติดลบหรือเปล่า ถ้าใช่ รีบปรับทัศนคติตัวเองเสียใหม่ด่วนเลยนะจ๊ะ

  1.  มีอาการกล้ามเนื้อตึง เส้นยึดบ่อย
  2. มีอาการปวดกล้ามเนื้อโดยไม่ทราบสาเหตุ
  3. มักจะปวดหัวบ่อย
  4. มีอาการเจ็บหน้าอกโดยไม่ทราบสาเหตุ
  5. สมรรถภาพทางเพศลดลง
  6. นอนไม่หลับ และมีปัญหาเรื่องการนอนหลับในตอนกลางคืน
  7. มีอาการของระบบย่อยอาหารไม่ปกติ เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นต้น
  8. อ่อนเพลียง่าย
  9. อารมณ์แปรปรวน
  10. มีความรู้สึกกังวล หดหู่ และเศร้าซึมบ่อย
  11. รู้สึกว้าวุ่นใจเหมือนมีเรื่องที่ยังคิดไม่ตก
  12. โกรธง่าย ฉุนเฉียวบ่อย
  13. รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากเข้าสังคม อยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
  14. พฤติกรรมการกินไม่เป็นปกติ เช่น กินน้อยกว่าปกติ หรือกินจุกว่าปกติ
  15. โมโหร้ายกว่าปกติ เช่น สบถคำหยาบออกมาบ่อย ๆ ทำร้ายผู้อื่น


10 วิธีง่าย ๆ ฝึกตัวเองให้เป็นคนคิดบวก

          เมื่อได้ทราบถึงข้อดีของการคิดบวกแล้ว ลองมาดูกันหน่อยดีไหมว่าจะเริ่มเป็นคนคิดบวกได้อย่างไร จากคำแนะนำของผลการวิจัยเรื่องการเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวก ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Psychology เมื่อปี 2006 ที่เผยว่า คนบนโลกนี้มีอยู่สองประเภทใหญ่ ๆ คือ พวกที่คิดมาก กับพวกที่ไม่ค่อยคิดอะไร ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนักวิจัยได้ลองวิเคราะห์นิสัยของคนทั้งสองกลุ่มแล้วกลับค้นพบว่าพวกเขามีวิธีจัดการอารมณ์ด้านลบที่คล้าย ๆ กัน นั่นคือ หาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น ดังนั้นเรามาลองเรียนรู้วิธีเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกจากกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้กันดู ว่ามีวิธีไหนที่เราสามารถทำตามได้บ้าง

1. ไม่ทำตัวโลกสวยเกินไป
             
          การคิดบวกและการมองโลกในแง่ดีในที่นี้ไม่หมายความว่าให้เราทำตัวโลกสวย มองอะไรโรยด้วยกลีบกุหลาบไปทุกอย่าง แต่เป็นการปรับมุมมองของเรา อะไรที่คิดติดลบมากเกินไปก็ปรับให้เป็นกลางขึ้นหน่อย  และอะไรที่คิดบวกมากเกินไปก็ปรับให้พอดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีคนเข้ามาจีบ เราก็อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีว่าเขาเป็นคนดี จริงใจกับเรา ให้เผื่อใจเอาไว้บ้าง เป็นต้น

2. ไม่ตัดสินอะไรง่าย ๆ เพียงแค่ตาเห็น
             
          การเริ่มต้นคิดบวกควรมาจากความคิดที่เป็นกลาง ดังนั้นเวลาที่เห็นอะไรไม่ถูกใจ ก็อย่าเพิ่งเหมารวมไม่ว่ามันไม่ดี ให้เข้าใจไปตามสิ่งที่เห็นอย่าใส่ความรู้สึกส่วนตัว อย่าลืมว่าการคิดบวกไม่มีถูกผิดนะจ๊ะ

3. ผูกมิตรกับเพื่อนที่นิสัยร่าเริง คิดบวกเข้าไว้

          ความรู้สึกที่ดี จะนำมาซึ่งความคิดดี ๆ ดังนั้นควรมองหามิตรแท้ที่นิสัยร่าเริงแจ่มใสไว้สักคน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดด้านดี หากอยู่กับคนซีเรียส จริงจังกับชีวิตมากไป เราก็คิดบวกไม่ได้สักที จากผลการวิจัยส่วนใหญ่เผยว่า ความเครียดเป็นอารมณ์ติดต่อจากอีกคนหนึ่งได้ โดยที่ตัวเรามักไม่รู้ตัวเลยว่าทัศนคติของตัวเองจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด จนกระทั่งพฤติกรรมแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่านิสัยเปลี่ยนไป ดังนั้นหากอยากเริ่มเป็นคนคิดบวก ก็ให้เดินเข้าไปผูกมิตรกับคนที่มองโลกในแง่ดี เพราะคนเหล่านั้นจะมีมุมมองความคิดที่เปิดกว้างกว่าพวกซีเรียส จริงจังกับชีวิต

4. หมั่นคุยกับตัวเอง

          คนที่คิดบวกมักจะคุยกับตัวเองอยู่เสมอ ในที่นี้หมายถึงการพิจารณาตัวเองว่ามีด้านลบกับเรื่องอะไร แล้วในแต่ละวันรู้สึกแย่อะไรบ้าง เมื่อเขาเรียงลำดับความคิดด้านลบได้ ก็จะทำการเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ บอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ต้องมองโลกในแง่ดีมากขึ้นกว่าเดิม และฝึกพูดประโยคเชิงบวก เช่น ฉันสามารถเรียนรู้ได้ ฉันจะต้องลองทำดูก่อน หรือ ฉันคิดว่าปัญหานี้ต้องมีทางออก เป็นต้น

5. เขียนถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

          เป็นวิธีที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากขึ้น เพียงแค่สละเวลา 5 นาทีก่อนนอน ทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด แล้วเขียนบันทึกลงไปสั้น ๆ เช่น วันนี้จับฉลากปีใหม่ได้ของที่อยากได้อยู่พอดี เป็นต้น จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Research in Personality เผยว่า การเขียนบันทึกส่งผลดีต่อสุขภาพของเรา โดยเฉพาะการบันทึกประสบการณ์ที่ดี ๆ เพราะเมื่อไรที่เราเขียนบันทึกเรื่องราวลงบนหน้ากระดาษได้ ก็แสดงว่าสมองของเรามีการจดจำแต่สิ่งที่ดี ๆ แล้วยิ่งถ้าจดบันทึกเป็นประจำทุกวัน สมองของเราก็จะเก็บเกี่ยวเรื่องราวดี ๆ เอาไว้เพื่อมาเขียนบันทึกโดยอัตโนมัติเลยล่ะ

6. หัวเราะ
         
          หลายคนไม่เคยสังเกตตัวเองว่าวันหนึ่ง ๆ หัวเราะมากน้อยเท่าไร ทั้งที่ความจริงแล้วการหัวเราะเป็นสิ่งที่สะท้อนอารมณ์ได้ดีว่ากำลังมีความสุขอยู่หรือไม่ อีกทั้งยังเป็นการปรับอารมณ์ด้านลบให้ดีขึ้นด้วย  ดังนั้น ถ้าหากงานเครียดมากทั้งวัน ลองสละเวลาสัก 20 นาทีให้กับสิ่งบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น หนังตลก หนังสือการ์ตูน พูดคุยกับเพื่อนสนิท วาดภาพ ร้องเพลง เป็นต้น หากทำให้ได้ทุกวันแบบนี้รับรองว่าความเครียดไม่สะสมอยู่ในจิตใจแน่นอน

7. นั่งสมาธิ
         
          ผลการวิจัยล่าสุดเผยว่า คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันมีแนวโน้มเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากกว่าคนที่ไม่เคยนั่งเลย ส่วนหนึ่งมาจากประโยชน์ของการนั่งสมาธินั่นเอง เพราะการนั่งสมาธิเป็นการฝึกจิตใจให้ปล่อยวางความคิด ฝึกสมองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน เราก็จะรู้ทันอารมณ์ของตัวเองว่ากำลังสุขหรือทุกข์ และถ้านั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันร่างกายและจิตใจของเราก็จะไม่เก็บอารมณ์แย่ ๆ หรือเรื่องราวไม่ดีมาจำฝังใจ ผลคือเรามีความสุข จิตใจแจ่มใส นั่นเอง ดังนั้นลองทำดูนะคะ สละเวลาวันละ 5-10 นาทีก็ยังดี ใครที่ไม่ถนัดการนั่งสมาธิก็ใช้วิธีทำโยคะก็ได้

8. เปลี่ยนนิสัยเป็นคนยืดหยุ่น ออมชอมกับผู้อื่นให้มากขึ้น

          การจะเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกได้ ส่วนหนึ่งต้องเริ่มมาจากตัวเองเสียก่อน คือ เปลี่ยนความคิดที่ทุกอย่างต้องเป๊ะ มาเป็นคิดยืดหยุ่นบ้าง เพราะความคาดหวังคือสิ่งอาจทำให้เราเสียใจ มองโลกในแง่ร้ายขึ้นมาได้ ดังนั้นลองฝึกให้ตัวเองมีความคิดที่ยืดหยุ่นบ้าง จะได้ไม่รู้สึกเครียดว่าอะไร ๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจ

9. อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด

          ความกลัวก็เป็นอุปสรรคที่ทำให้เรามองโลกในแง่ดีไม่ได้ เพราะสมองยังยึดติดอยู่กับความรู้สึกที่ว่า “กลัวว่าจะ…” ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่เกิดตามที่เราคิดก็ได้ ดังนั้นเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้ปล่อยวางกับเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

10. ฝึกตัวเองให้ยิ้มง่ายขึ้น

          การยิ้มเป็นสิ่งพื้นฐานที่ช่วยให้ตัวเราเองรู้สึกมีความสุข ดังนั้นไม่ว่าจะมีเรื่องที่ทำให้ยิ้มไม่ออกก็ตาม ยังไงก็ขอให้ยิ้มแย้มเอาไว้ก่อน แทนที่จะระบายด้วยการปล่อยคำพูดแย่ ๆ ออกมา

          เห็นไหมละคะว่าพลังของการคิดบวกน่ะสุดยอดแค่ไหนสามารถทำให้สุขภาพกายและใจของเราแข็งแรงอยู่เสมอ  แต่ถึงแม้ว่าวันคิดบวกโลกจะผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อ 13 กันยายนที่ผ่านมานี้ เราก็ยังสามารถทำทุก ๆ วันให้เป็นวันคิดบวกได้ แค่ลองเปิดใจให้กว้างใส่ใจกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น เพียงเท่านี้ก็เราก็มีความสุขในทุก ๆ วันแล้ว

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

มูลค่าชีวิต

     ขอบคุณ vittarot.com

  บนโลกนี้มีแต่เรื่องที่ทำให้สับสน ระบบการศึกษาสอนให้เราเรียนเพื่อหางานดีๆเงินดีๆทำ พอเข้าทำงานก็มีคนสอนอีกว่าทำงานอย่าเกี่ยงเงิน บางคนบอกให้เดินตามความฝันอย่าทำเพื่อเงิน แต่ถ้าไม่มีเงินชีวิตก็เดือดร้อน ผู้ให้แรงบันดาลใจส่วนใหญ่บอกว่าให้ทำงานให้หนักโดนไม่ต้องแคร์เรื่องเงิน แต่ถ้าเขาจ้างให้มาพูดโดยให้เงิน 200 บาทพูดทั้งวันพวกเขาเหล่านั้นจะเอาไหม

      ตกลงแล้วเงินมันสำคัญหรือไม่สำคัญกันแน่ ผมฟันธงให้ว่าสำคัญโครตๆ อย่างน้อยคุณก็ต้องใช้มันเพื่ออาหาร 3 มื้อ อย่างน้อยถ้าพ่อแม่คุณป่วยคุณก็มั่นใจว่าคุณจะมีเงินมากพอที่จะขาดงานไปเป็นเดือนเพื่อดูแลท่าน อย่างน้อยคุณก็สามารถพาแฟนไปฮันนีมูนได้แล้วกัน แน่นอนประโยคคลาสสิก เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างบนโลก อย่างน้อยก็ความรัก คำตอบคือถูกต้อง ความรักเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อได้ แต่ยอมรับเถอะว่านอกจากความดีแล้ว ความมั่นคงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของคุณสมบัติของความรักเช่นกัน อย่างน้อยคุณก็คงไม่อยากให้แฟนของคุณต้องลำบากกัดก้อนเกลือเพราะคุณใช่มั้ย อย่างน้อยคุณก็อยากทำสิ่งที่ดีที่สุดให้คนรักของคุณใช่มั้ย?

      น่าแปลก ประเทศเราใครพูดเรื่องเงินก็มักถูกมองเป็นคนโลภ บางครั้งคนที่กระหายอยากได้เงินเยอะๆจะถูกมองเป็นพวกมารศาสนาเพราะไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมี

มีคนบอกว่าทำงานอย่าคิดถึงเรื่องเงิน…?

  เวปไซต์ Pantip เป็นเว็บที่ผมมองว่ามันคือสุดยอดของ Webboard ในโลกแล้ว ในนั้นมีผู้คนหลากหลายมากๆ มีทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานะ ผมว่าสังคมของเราขับเคลื่อนไปด้วยพลังของ Pantip เพราะมันก่อให้เกิดกระแสสังคมใหญ่ๆนับครั้งไม่ถ้วน มีกระทู้หนึ่งผมจำได้ดี เป็นกระทู้ระบายความในใจของเจ้าของกิจการคนหนึ่งเกี่ยวกับการหาคน รายละเอียดคร่าวๆคือเจ้าของกิจการมาเขียนระบายความในใจว่าเด็กสมัยใหม่นี้ใช้ไม่ได้ ต้องการเงินเดือนแพงๆทั้งๆที่ไม่มีประสบการณ์ แถมยังเลือกงานอีก ได้คนมาก็อยู่ไม่ทน สรุปก็คือมาระบายความในใจเกี่ยวกับการหาลูกน้องนั่นแหละครับ เท่าที่ผมจับประเด็นแบบเบื้องหลังได้ ก็คือเขาอยากได้พนักงานด้วยค่าแรงที่เขาคิดว่าสมเหตุสมผลนั่นแหละ ปัญหาที่ผมเดาก็คือมันสมเหตุสมผลของใคร ของนายจ้างที่ต้องการใช้เงินให้น้อยที่สุด หรือของลูกจ้างที่บังเอิญมีงานที่เสนอเงินเดือนมากกว่าให้เขาเลือก

และเมื่อมีกระทู้ของนายจ้างแล้ว กระทู้ของลูกจ้างก็มีครับ ส่วนใหญ่ก็จะสอบถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบของสายงานจนไปถึงกระทั่งเรื่องของเงินเดือน ตรงเรื่องของเงินเดือนนี่แหละครับที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่ของคนที่เริ่มต้นหางานครั้งแรกในชีวิตมักจะตั้งกระทู้ถามว่าควรจะเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะอิงเรตราคาตามวุฒิการศึกษาที่มีอยู่ ปริญญาตรีมีค่าแรงต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ราวๆ 13,000 ถึง 17,000 บาท ส่วนปริญญาโทมีราวๆ 17,000 จนถึง 30,000 บาท ส่วนระดับด็อกเตอร์นั้นไม่ทราบจริงๆ และคำแนะนำจึงไม่ได้มีอะไรมากนอกเสียจากบอกระดับมาตรฐานเงินเดือนของสายอาชีพที่ถูกถามอย่างคร่าวๆเท่านั้น

และแน่นอนตามประสาของผู้คนร้อยพ่อพันแม่ คำตอบประเภทที่ว่าอย่าคิดถึงเรื่องเงินก็ต้องมีอย่างแน่นอน ไม่ใช่สิ มันมีทุกกระทู้ที่ถูกถามนั่นแหละ คำถามคือการทำงานโดยคิดถึงเรื่องเงินมันไม่สำคัญตรงไหน คนที่พูดคำนี้ได้ส่วนใหญ่เงินเดือนสูงๆแล้วทั้งนั้น เขาไม่เดือดร้อนนี่ครับเขาเลยพูดได้เต็มปาก ที่ผมบอกว่าการทำงานโดยเอาเงินมาเป็นตัวตั้งมันสำคัญก็เพราะว่าถ้าชีวิตคุณส่วนใหญ่ต้องเสียเวลาไปกับการทำให้คนอื่นรวยขึ้น สุขสบายขึ้น คุณก็ควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกมูลค่าหรือราคาของตัวเองตามที่พอใจ นายจ้างหรือ HR มีสิทธิ์ที่จะจ้างหรือไม่จ้างก็ได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อว่าหรือไม่พอใจในสิ่งที่คนเหล่านั้นเรียกร้อง คุณอาจจะโน้มน้าวใจให้เขาเห็นว่าค่าตัวของเขาแพงเกินราคาตลาดก็ได้ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อว่าความต้องการของเขา ดูถูกหรือตำหนิเขา อย่างน้อยขอให้คิดว่าบ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูๆที่นายจ้างที่มีขับก็มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของลูกจ้างเช่นกัน

ดังนั้นผมเชื่อว่ามูลค่าเป็นสิ่งที่เจ้าของชีวิตกำหนดให้กับชีวิตของเขาเอง จะแพงหรือถูกขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้างจะตัดสินใจ!

น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่มักยอมให้ตลาดกำหนดมูลค่าของชีวิตพวกเขาว่ามีเรตราคาเท่าไหร่…?

แล้วทุกคนรับได้เพราะนี่คือเรื่องที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกัน ทีนี้ลองมาดูสมการบางอย่างที่ผมอยากจะลองตั้งโจทย์ให้พวกคุณคิดดู นี่เป็นสมการสมมุติ เป็นโจทย์สมมุติที่ไม่อิงกับความเป็นจริงซักเท่าไหร่ แต่ขอร้องว่าคุณควรจะคิดตามให้ดีๆ เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องของเงินโดยตรง และเป็นการคำนวนที่บัดซบมากๆด้วย ผมขอถามคุณว่าคุณคิดว่าชีวิตของคุณมีมูลค่าหรือราคาต่อเดือนเท่าไหร่ เอาให้ชัดๆคือคุณคิดว่าคุณควรจะได้เงินเดือนเท่าไหร่อย่างนี้ก็ได้

ได้คำตอบแล้ว ทดไว้ในใจ


    นักศึกษาส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีที่อายุราวๆ 23 ปี สมมุติว่าพ่อแม่ของคุณต้องใช้เงินเพื่อดูแลคุณทั้งเรื่องค่าอาหาร การเดินทาง ค่าป่วยไข้ไม่สบาย ค่าของเล่น ค่าเรียน ค่ารายงาน ค่าทัศนะศึกษา ค่าสตาร์บั๊ค บลาๆๆ เฉลี่ยทั้งชีวิตตีเป็นเงินราวๆ 10,000 บาทต่อเดือน (ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่พ่อแม่เสียเงินมากกว่านั้น) เพื่อแลกกับความสุข ความรัก และหลักประกันชีวิตในอนาคตของลูก เท่ากับว่า 1 ปีคุณจะใช้เงินของพ่อแม่ราวๆ 120,000 บาท คุณใช้เวลา 23 ปีเพื่อจบการศึกษาก็จะเท่ากับ 120,000 บาท คุณด้วย 23 ปี จะเท่ากับพ่อแม่ให้คุณใช้เงินแล้ว 2,760,000 บาท ด้วยมูลค่าขนาดนี้พ่อแม่สามารถซื้อรถ Mercedes benz new c class c220 cdi executive ได้พอดีเลย นั่นคือถ้าเปรียบเทียบเป็นภาพแบบทุนนิยมสุดๆ คือมูลค่าของตัวคุณมีเท่ากับหรือมากกว่ารถราคา 2,760,000 บาทแน่นอน

และถ้าสมมุติว่าถ้าคุณมีเจ้ารถคันนี้มาในครอบครองจริงๆ ผมขอถามคุณว่าคุณจะยอมให้คนเช่ารถคันนี้ในราคาเท่าไหร่ สมมุติว่าคุณให้เช่าในราคาเดือนละ 15,000 บาท เดือนหนึ่งคุณปล่อยให้เช่า 20 วันคือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และให้เช่าแค่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเช่าเหมาทั้งเดือน นั่นเท่ากับว่ารถคันนี้จะต้องถูกขับเป็นเวลา 180 ชั่วโมงเต็มต่อเดือน เมื่อคุณให้เช่าในราคา 15,000 บาทต่อเดือน ก็เอาจำนวนค่าเช่ามาหารกับจำนวนชั่วโมงดู ก็จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 84 บาทต่อชั่วโมงเท่านั้น

คุณคิดว่าบนโลกในบี้ จะมีใครปล่อยรถ Mercedes benz new c class c220 cdi executive ให้เช่าด้วยเงินเพียง 84 บาทต่อชั่วโมงหรือไม่ นี่มันบ้าชัดๆ ใครให้เช่าสิ่งของมูลค่า 2,760,000 บาทด้วยราคาเพียง 84 บาทต่อชั่วโมง บ้าจริงๆ หรือถ้าคุณหัวการค้าขึ้นมาหน่อย คุณเพิ่มค่าเช่าให้เป็นเดือนละ 25,000 บาทไปเลย เมื่อเฉลี่ยเป็นเงินต่อชั่วโมงแล้วจะเท่ากับ 139 บาทต่อชั่วโมงแล้ว แต่ถ้ามาคิดดีๆถึงแม้จะเยอะกว่าเดือนละ 15,000 บาท แต่ราคามันก็ต่ำกว่าจะรับได้อยู่ดี

ทีนี้ผมขอถามคุณนะครับ คุณว่ามูลค่าของตัวคุณ กับมูลค่าของรถ Mercedes benz new c class c220 cdi executive เจ้าสิ่งไหนมีราคาที่แพงกว่ากัน เอาความเสียหายสูงสุดมาเปรียบเทียบ ถ้ารถเบ๊นซ์เกิดพังไป อย่างมากเจ้าของก็แค่ซื้อใหม่ สูญเงินซัก 2 ล้านกว่าบาทก็ไม่เห็นเสียหาย เผลอๆไม่ต้องเสียเพราะประกันชั้น 1 ดูแลให้เสร็จสรรพ อาจจะได้รุ่นทีดีกว่าเดิม เร็วกว่าเดิม เท่กว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ถ้าชีวิตคนทั้งคนของคุณตายไป มันไม่มีอะไรมาทดแทนได้นะครับ อย่างน้อยคนที่ร้องไห้กับการตายของคุณคนแรกต้องไม่ใช่นายจ้างแน่นอน ถ้าคุณบอกว่าไม่เป็นไร ตายไปก็เริ่มต้นใหม่ในชาติหน้า ผมก็ขอถามคุณว่าคุณเชื่อไหมหละ ว่าชาติหน้ามีจริง!

ถ้าคุณคิดว่าหมื่นห้า คุณก็จะได้หมื่นห้า
ถ้าคุณคิดว่าสองหมื่น คุณก็จะได้สองหมื่น
ถ้าคุณคิดว่าหนึ่งแสน คุณก็จะได้หนึ่งแสน
ถ้าคุณคิดว่าหนึ่งล้าน คุณก็จะได้หนึ่งล้าน


สรุปเรื่องความคิด

แต่ถ้าคุณไม่มีไอเดียว่าชีวิตของคุณมีราคาเท่าไหร่ ก็ลองถามคนที่รักคุณดูสิ
แล้วจะค้นพบว่าความจริง ชีวิตของคุณประเมินค่าไม่ได้สำหรับใครบางคน

ขอถามอีกครั้ง คุณคิดว่า  Mercedes benz new c class c220 cdi executive มูลค่า 2,760,000 บาท กับชีวิตคุณ สิ่งไหนแพงกว่ากัน…???
ขอถามอีกครั้ง คุณคิดว่ามูลค่าชีวิตของคุณเท่าไหร่???


วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

แนวคิดธุรกิจยุคใหม่ ไม่ต้องพึ่งประสบการณ์

 

   นับแต่อดีตเป็นต้นมาหลายครั้งที่ค่านิยมถูกนำไปผูกติดกับความเชื่อในแบบผิดๆ ซึ่งมักบังคับช่องทางการทำธุรกิจให้แคบลงอยู่เสมอ ความเชื่อเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเอาเสียเลยในปัจจุบัน เพราะดูเหมือนจะเป็นการไปจำกัดความก้าวหน้าอย่างสิ้นเชิงสำหรับนักธุรกิจสายเลือดใหม่ โดยหนึ่งในความเชื่อที่เป็นข้อผูกมัดให้ไม่อาจทำให้เริ่มธุรกิจใหม่ได้ก็คือความเชื่อเรื่องประสบการณ์ ซึ่งมักได้รับการบอกกล่าวจากรุ่นสู่รุ่นว่าธุรกิจเป็นเรื่องของประสบการณ์ ผู้ใดไม่มีประสบการณ์ก็อย่าริอ่านไปทำธุรกิจโดยเด็ดขาด Timothy Ericson ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท CityRyde ได้ให้แนวทางที่จะปฏิวัติความคิดเรื่องประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจอีกต่อไป ดังต่อไปนี้

การมองหาความต้องการของตลาดเป็นสิ่งแรกที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่พึงจะต้องกระทำ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับสิ่งประดิษฐ์และบริการ เพราะต้องเข้าใจในพื้นฐานของคนเราที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน และเชื่อเถอะว่าไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการใดสามารถตอบสนองความต้องการได้ครบและครอบคลุมทุกกลุ่มผู้บริโภคได้ ดังนั้นสิ่งนี้คือช่องทางและโอกาสทองของผู้ประกอบการมือใหม่ที่ต้องจับตลาดความต้องการของผู้บริโภคที่มักเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ และทำผลิตภัณฑ์ออกมาตอบสนองความต้องการในส่วนดังกล่าวให้จงได้ ซึ่งแนวทางนี้ไม่ต้องใช้ประสบการณ์เลยแม้แต่น้อย ที่ต้องใช้คือการทำวิจัยดีๆ ต่างหาก

ผู้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจหลายคนส่วนมากก็ไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจมาก่อน เพียงแต่พวกเขามีมุมมองอันชาญฉลาดและรู้ว่าธุรกิจอะไรควรลงไปแข่ง ธุรกิจอะไรควรเว้นวรรค หรือที่เรียกว่าการประเมินโอกาสทางธุรกิจนั่นเอง วิธีการประเมินธุรกิจเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดคือการประเมินศักยภาพของธุรกิจของตนเองและกลุ่มตลาดเป้าหมาย ตัวอย่างคือ พิจารณาปัจจัยทางความพร้อม บุคลากร เงินทุน การบริหาร บวกกับแนวทางการเติบโตของกลุ่มเป้าหมายที่จะลงไปจับ คู่แข่ง ความต้องการหลักของผู้บริโภค เมื่อนำปัจจัยทั้ง 2 ด้านมาวิเคราะห์ประกอบกันแล้วก็จะรู้เองว่าธุรกิจดังกล่าวมีความน่าลงทุนขนาดไหนที่จะส่งผลิตภัณฑ์และบริการลงไปแข่งด้วย จึงจะเรียกว่าเป็นการทำธุรกิจอย่างชาญฉลาดที่มีแต่ได้มากกว่าเสียนั่นเอง

ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดจุดด้อยในเรื่องการขาดประสบการณ์ได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกับบริษัทหน้าใหม่ๆ คำถามที่มักพบเป็นประจำเมื่อเวลาไปขายงานต่อหน้าลูกค้าคือ หากไม่มีประสบการณ์อะไรเลยแล้วสิ่งไหนจะมาเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าคุณจะทำงานให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่นำเสนอมาได้ ผู้ประกอบการหลายรายเมื่อได้ฟังคำถามนี้ก็แทบตกเก้าอี้เพราะไม่สามารถตอบคำถามที่ยิงมาจากปากลูกค้าได้ ทางออกของปัญหาดังกล่าวคือสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นในกรอบการดำเนินงานของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนเงินทุนสำรอง ยอดหมุนเวียนในกระแสเงินสด และที่สำคัญคือประวัติการทำงานที่ผ่านมาของบริษัทต้องไม่มีข้อผิดพลาดจนถูกฟ้องร้องหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจากการทำงานโดยเด็ดขาด เรียกได้ว่าทำประวัติการทำงานของบริษัทให้เนียนเข้าไว้จะช่วยทดแทนจุดด้อยในเรื่องของการขาดประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี

เพราะความที่ยังไม่มีประสบการณ์จึงต้องอาศัยความทุ่มเทและการประหยัดมัธยัสถ์เป็นหลัก ด้วยการไปศึกษาหาข้อมูลและคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจที่ให้บริการฟรีในรูปแบบเครือข่ายอย่างในโลกสังคมออนไลน์ (Social Media) เช่น ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก ที่มักให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจแบบฟรีๆ ไม่เสียเงินเลยสักบาท บางครั้งอาจช่วยพิจารณาการวางแผนธุรกิจและช่วยกระจายข้อมูลในเรื่องการทำงานให้ด้วย ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือในลักษณะของมิตรภาพที่ไม่อาจตีราคาได้ นอกจากนี้การศึกษาหาข้อมูลการทำธุรกิจจากห้องสมุดต่างๆ และการเข้าอบรมสัมมนาทางวิชาการตามมหาวิทยาลัยก็เป็นวิธีการช่วยเพิ่มความรู้ได้ดีอีกวิธีหนึ่ง

ผู้เริ่มประกอบธุรกิจในช่วงแรกต่างรู้ดีว่าเงินทุนเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด การใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษหรือเรียกง่ายๆ ว่าการประหยัดนั่นเอง โดยหนึ่งในแนวทางที่จะช่วยลดรายจ่ายได้เป็นอย่างดีคือ การใช้งานอินเทอร์เน็ตให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจสามารถค้นหาจากทางโลกออนไลน์ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการเขียนแผนทางธุรกิจ การดาวน์โหลดเอกสาร และที่สำคัญคือสถิติต่างๆ ที่มีเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตก็มีอยู่เป็นจำนวนมากและฟรีอีกด้วย หากไปว่าจ้างบริษัทรับทำสำรวจจะเสียค่าใช้จ่ายแพงมาก และไม่คุ้มค่าสำหรับบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่ด้วย

เครื่องมือที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการในการลดปัญหาที่เกิดจากการขาดประสบการณ์ทางธุรกิจก็คือใช้จุดแข็งเข้าต่อสู้ ผู้ประกอบการจะต้องสำรวจตนเองก่อนว่ามีจุดแข็งในเรื่องอะไรที่จะสามารถไปต่อกรกับคู่แข่งบนท้องตลาดได้ อาจเป็นราคาที่ถูกกว่า คุณสมบัติที่ดีกว่า ฯลฯ แล้วพัฒนาเครื่องมือดังกล่าวนำมาใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับคู่แข่งที่มักอ้างเรื่องประสบการณ์เป็นจุดเด่น ซึ่งการใช้จุดแข็งของธุรกิจเข้ามาต่อสู้นี้ต้องใช้ทักษะส่วนตัวของผู้ประกอบการค่อนข้างมากในการบริหารจัดการให้ตรงกับยุทธศาสตร์ที่วางเอาไว้

• • •

ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ประกอบการจะหาซื้อได้จากร้านสะดวกซื้อทั่วไปและส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นการค้นหาจุดแข็งในด้านอื่นๆ เพื่อนำมาทดแทนจุดด้อยดังกล่าวจึงเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึง "กึ๋น" ในการบริหารจัดการของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

บัญญัติ 10 ประการ ที่จะนำไปสู่ “ความมั่งคั่ง”


บัญญัติ 10 ประการ ที่จะนำไปสู่ “ความมั่งคั่ง” 

ผมชอบหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “Be Rich…  The Ten Financial Laws of Prosperity” หรือแปลตามความได้ว่า “มารวยกันเถอะ… กฎการเงิน 10 ข้อ แห่งความเจริญรุ่งเรือง” โดยผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ก็คือ แดน ดูลิน (Dan Dulin) และ เกร็ก เอ็น ไวเลอร์ที่สอง (Greg N. Weiler II)  เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึง กฎการเงิน 10 ข้อ ที่จะสามารถนำพาให้เราไปพบกับความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งได้ โดยพอสรุปได้ดังนี้ครับ

หนึ่ง  คุณต้องเชื่อว่า… “คุณจะต้องทำสำเร็จแน่”

เช่นเดียวกับ พลังของการตั้งเป้าหมาย ก่อนที่คุณจะทำอะไรเพื่อให้ประสบความสำเร็จนั้น อันดับแรก คุณต้องเชื่อเสียก่อนว่า… “ฉันจะต้องทำสำเร็จแน่” โดยให้แนวความคิดที่ว่า

• สิ่งที่คุณเชื่อก็คือ…สิ่งที่คุณจะเป็น ถ้าคุณคิดว่า…คุณรวย คุณก็จะ…รวย• คุณจะต้องมี “พลังของความคิดในแง่บวก”• คุณต้องการเงินเท่าไร?  แผนการเงินของคุณ ที่จะทำให้ได้…เงินก้อนนั้นมา
ในบทนี้เป็นเสมือนการตั้งเป้าหมาย ด้วยพลังความคิดในแง่บวก ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง และคุณเองก็ทำได้… ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับ “คุณ”

สอง  การประหยัดเพื่อ…อนาคต

ความคิดอันดับแรกที่มักจะเกิดขึ้นในใจของคนจนก็คือ  เมื่อได้รับเงินมาแล้ว พวกเขาก็มักที่จะหาวิธีการที่ใช้จ่ายเงินก้อนนั้นออกไปอย่างไร? เช่น การจ่ายบิลที่จำเป็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าโทรศัพท์ และอื่นๆ  ถ้าหากเงินที่ได้มายังเหลืออยู่ ก็จะคิดต่อไปถึงการใช้จ่ายเงินที่เหลือต่อไปอย่างไร…จนเงินหมด ไม่มีเหลือเก็บออมไว้ได้เลย

ขณะที่คนรวยมักจะมีความคิดอันดับแรกที่เกี่ยวกับเงินที่ได้มาว่า…จะเก็บออมเท่าไรดี?  อาจจะเป็น 10% หรือมากกว่านั้น หลังจากที่หักเงินออมออกไปแล้ว จึงมาคิดต่อว่า เงินที่เหลืออยู่จำเป็นจะต้องจ่ายอะไรบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนรวยจึงสามารถที่จะเก็บออมได้ทุกเดือนอย่างไม่ยากลำบากนัก เพราะเงินเดือนหรือรายได้ที่ได้มาในแต่ละเดือนจะถูกหักออกไปเพื่อการออมเงิน…เป็นอันดับแรก นั่นเอง

สาม  หารายได้…เพิ่มขึ้น

ในข้อนี้…จะเน้นไปที่การหารายได้เสริม ซึ่งอาจจะเป็นงานนอกเวลาทำงานปกติ หรืออาจจะเป็นธุรกิจเล็กๆที่มีแนวโน้มที่จะสามารถหารายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งคุณคงจะต้องหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะหามาให้ได้ซึ่ง…รายได้เสริม

แต่หากคุณยังคิดไม่ออก มีวิธีการง่ายๆที่จะพอช่วยคุณได้คือ ลองมองหาคนที่คุณรู้จัก…ที่เขาสามารถหาเงินได้เป็นจำนวนมากๆ ลองเรียนรู้ดูว่าคุณจะพอทำตามหรือลอกเลียนแบบเขาได้บ้างไหม? นอกจากนั้นการศึกษาหาความรู้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถทำให้คุณหาอาชีพเสริมได้ เช่น การศึกษาอุปนิสัยของคนที่รู้จักที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ การอ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพเสริม หรือแม้กระทั่งการค้นหาคำง่ายๆจากอินเทอร์เน็ต

สี่  จงดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง

คงมีคุณผู้อ่านหลายท่านที่มีความรู้เกี่ยวกับ “ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์” ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็น 5 ระดับคือ ความต้องการทางกายภาพ ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความรักและความเป็นเจ้าของ ความเคารพนับถือ และความสมบูรณ์ของชีวิต

หลังจากที่คุณผู้อ่านได้เรียนรู้ “ลำดับความต้องการของมาสโลว์” ไปแล้ว เราก็คงจะพอตระหนักได้ว่า เมื่อมนุษย์ได้รับความต้องการขั้นพื้นฐานในลำดับที่ 1 และลำดับที่ 2 ไปแล้ว มนุษย์จะพยายามขยับขยายฐานะความเป็นอยู่ของตน เพื่อที่จะให้ตนก้าวข้ามไปอยู่ในสังคมที่สูงขึ้นหรือการก้าวไปสู่ความต้องการในลำดับที่ 3 และ 4  ซึ่งจะทำให้ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกมากมาย และอาจจะนำไปสู่ “ความล้มเหลวทางการเงิน” ได้ในที่สุด และนั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่า “กับดักการใช้ชีวิต” (Lifestyle Trap)

ห้า  พยายามช่วยเหลือ… คนที่ยังต้องการอยู่

ในโลกนี้ยังมีคนยากจนและคนที่ต้องการความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก การที่คุณผู้อ่านสามารถที่จะให้บางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาต้องการ โดยไม่ทำให้ตัวเราเองต้องเดือดร้อน จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกใบนี้…น่าอยู่ยิ่งขึ้น และจะทำให้เรามีความสุขจากการให้ ซึ่งก็จะมีผลทำให้จิตใจและร่างกายของเราพลอยดีขึ้นไปด้วย สิ่งที่คุณผู้อ่านสามารถมอบได้นั้นมี 3 สิ่งด้วยกันคือ

• การให้เงิน พยายามจัดสรรรายได้ที่ได้รับประมาณ 10% เพื่อให้แก่คนจน เงินจำนวนนี้อาจมีค่านับเป็นสิบร้อยพันเท่าสำหรับคนยากจนเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เขาเหล่านั้นมีความหวังในชีวิต…มากขึ้น• การให้เวลา โดยการเสียสละเป็นอาสาสมัคร เป็นครู เป็นพี่เลี้ยง หรือเป็นคนที่สามารถช่วยคนทางหนึ่งทางใดได้ การเสียสละเวลาซัก 1-2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็สามารถทำให้สังคมดีขึ้นแล้ว• การให้อภัย การให้อภัยอาจจะเป็นสิ่งเดียวในสามสิ่งนี้ ที่จะทำให้คุณผู้อ่านมีภาวะจิตใจที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะนำไปสู่สุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้นการให้อภัยยังสามารถทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นพลอยจะดีขึ้นไปด้วย

หก  จงเตรียมพร้อม

ในการดำเนินชีวิตจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมพร้อมทางด้านการเงิน โดยเฉพาะในกรณีที่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น การเตรียมพร้อมทางการเงินดังกล่าวพอที่จะจำแนกเป็นประเภทได้ดังต่อไปนี้

เงินฉุกเฉิน  ทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีเงินฉุกเฉินไว้เผื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

การประกันชีวิตและการประกันภัย  เพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดใดๆ เช่น การประกันความพิการหรือทุพพลภาพ  การประกันน้ำท่วม เป็นต้น

เจ็ด  ใช้ชีวิตอย่าง…ไม่มีหนี้

หากคุณยังไม่มีหนี้สินอยู่เลย ก็จงอย่าเป็นหนี้ แต่หากคุณมีหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระอยู่แล้ว มีวิธีการบางวิธีที่จะช่วยขจัดหนี้เหล่านี้ออกไปจากชีวิตของคุณได้

   ขั้นที่ 1  จงอย่าสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้น

   ขั้นที่ 2  ยกเลิกการใช้บัตรเครดิต

   ขั้นที่ 3  ใช้เงินสดซื้อของทุกอย่าง

   ขั้นที่ 4  เร่งการจ่ายหนี้คืน  และศึกษาวิธีการปรับลดหนี้

แปด  แสวงหาวิธีที่จะทำให้ “เงิน” ทำงานให้คุณ

หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ “เงิน” ทำงานให้คุณก็คือ การนำเงินไปลงทุนนั่นเอง ซึ่งมีกฎทอง 15 ข้อที่อาจจะเหมาะสำหรับคนที่คิดจะเริ่มต้นลงทุนดังนี้ครับ

เรียนรู้จากผู้อื่น

หาจังหวะเวลาที่ถูกต้อง

อย่าให้สูญเสียเงินต้น

เรียนรู้การลงทุนในทรัพย์สินที่สร้างรายได้และเพิ่มค่าได้

หลีกเลี่ยงการมีความเชื่อมั่นที่มากเกินไป

รู้เวลาที่ควรจะออกจากการลงทุน ตั้งแต่…เริ่มลงทุน

อ่าน…อ่าน…อ่าน  การอ่านคือ หัวใจแห่งการเรียนรู้

เขียนมันออกมา  จงพยายามเขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องออกมา

กาลเวลาพิสูจน์…ความเชื่อถือ  อย่าคิดที่จะทำธุรกิจหรือลงทุนกับคนที่คุณไม่รู้จัก

คุณต้องควบคุมได้  อย่าลงทุนในสิ่งที่…คุณไม่เข้าใจ

ลงทุนแต่ในสิ่งที่…คุณรู้  จงศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากรู้และสนใจ

ทำงานกับมืออาชีพเท่านั้น

ทุกอย่าง…เจรจาได้หมด  พยายามคิดที่จะต่อรองกับทุกธุรกิจหรือทุกการลงทุน

จงทำการบ้าน  อย่าเชื่อคำแนะนำต่างๆโดยไม่ได้ตรวจสอบ

จงระวัง…การเป็นหนี้  เพราะการกู้ยืมเงินจะนำมาซึ่ง…ความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย


เก้า  จงปกป้อง “เงินของคุณ”

ในปัจจุบัน มีความเสี่ยงมากมายที่จะทำให้คุณมีโอกาสลงทุนผิดพลาดได้ อย่างไรก็ตาม มีกฎทอง 15 ข้อที่จะใช้ในการปกป้อง “เงินของคุณ” ดังนี้ครับ

จงกระจายความมั่งคั่งของคุณ  นั่นคือ การกระจายการลงทุนออกไป

ควบคุมความโลภและความกลัว  เพราะสองสิ่งนี้จะทำให้คุณมีโอกาสลงทุนผิดพลาดได้ง่าย

อย่าให้ปัญหาลุกลามออกไป  ควรจะจัดการกับปัญหาตั้งแต่ปัญหานั้นๆยังมีขนาดเล็กอยู่

ระวังการปล่อยกู้ให้กับ…ญาติและเพื่อน

อย่าค้ำประกัน

คุณไม่ได้เกิดมาเป็น…นักพนัน  ไม่ควรนำเงินของคุณไปเสี่ยงกับการลงทุนที่เป็น “การพนัน”

จงหลีกเลี่ยงการเป็น… “ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย”

อย่าเปลี่ยนจาก…การลงทุนที่กำไรไปเป็น…การลงทุนที่ขาดทุน

กล้าที่จะ…ตัดขาดทุน

อย่าใจร้อน  ความใจร้อนจะนำไปสู่ความผิดพลาดตามมาอีกมากมาย

จงปกป้องความสูญเสีย

อย่าเล่นเกมส์ของ “ผู้แพ้”  หากคุณรู้ว่าการลงทุนใดๆมีการควบคุมหรือมีการสร้างราคาโดยคนอื่นอยู่ ก็จงพยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลที่สุด

รู้ความเสี่ยงที่เกิดจาก…ฝ่ายตรงข้าม

ทำให้ “ภาษี” ต่ำที่สุด  ควรคำนึงถึงการวางแผนภาษีไว้ด้วย

จงให้เงินกู้…โดยมีทรัพย์สินค้ำประกันเท่านั้น

สิบ  จงเป็นเจ้าของบ้าน…ที่ปราศจากหนี้

“บ้าน” ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด เพราะเป็นสถานที่ที่ครอบครัวของคุณอาศัยอยู่ ด้วยเหตุนี้ การที่จะจ่ายหนี้บ้านให้เร็วที่สุดก็จะทำให้คุณไม่ต้องมาพะวักพะวงว่า ในแต่ละเดือนจ่ายค่าบ้านแล้วหรือยัง นอกจากนั้นแล้วคุณยังได้ประโยชน์ทางภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการจ่ายดอกเบี้ยค่าบ้านอีกด้วย

และนั่นคือ บัญญัติ 10 ประการ ที่จะนำไปสู่ “ความมั่งคั่ง” ทั้ง 10 ข้อ ที่คุณผู้อ่านควรจะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิต เพื่อความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตต่อไป

CR. ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์

วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

www.facebook.com/doctorweclub

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พลังความคิด

ความคิดของเราคือสินทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดสิ้น
ถ้าคุณคิดว่า คุณล้มเหลว คุณก็จะเป็นตามนั้น
ถ้าคุณคิดว่า คุณไม่กล้า คุณก็จะไม่กล้า
ถ้าคุณอยากชนะ แต่กลับคิดว่า ตัวเองไม่สามารถชนะได้ ก็ค่อนข้างแน่นอนว่าคุณจะไม่ชนะ
ถ้าคุณคิดว่า คุณจะพ่ายแพ้ คุณก็แพ้ เหนือสิ่งอื่นใดที่เราค้นพบ
ความสำเร็จเริ่มต้นจากความตั้งใจ และทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ ในใจของเรานี่เอง
ถ้าคุณคิดว่า ตัวเองเหนือชั้น คุณก็เป็นเช่นนั้น
คุณต้องคิด ให้ไกลไปให้ถึง
คุณต้องมั่นใจในตัวเอง ก่อน จึงจะได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จ
สงครามชีวิตไม่ได้มุ่งสู่ผู้ที่เข้มแข็งกว่า และ รวดเร็วกว่าเสมอไป
เพราะไม่ช้าก็เร็ว ” ผู้ชนะที่แท้จริงก็คือ คนที่ คิดว่าเขาทำได้

ทุนเรียนต่อเมืองนอก

E-Book แนะนำ รองรับโทรศัพท์มือถือ


กรอกข้อมูลเพื่อรับสิทธิพิเศษ