วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Value Indentity

Value Indentity "อัตลักษณ์เชิงคุณค่าของตัวคุณ"

  คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในโลกนี้ ต้องมีอัตลักษณ์เชิงคุณค่าที่สามารถสร้างความแตกต่างได้จากนั้นใช้ความแตกต่างนั้นสร้างความสำเร็จผ่านการเสียสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้อื่น
     เพราะความสำเร็จของคนเรานั้นเกิดจากการช่วยให้ผู้คนจำนวนมากพอให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้น ถ้าคุณต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน คุณต้องส่งมอบคุณค่าเพื่อช่วยให้ผู้อื่นได้ในสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดนั่นเอง

   จงจำไว้ว่า หัวใจของการอยู่อย่างผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้วัดว่าใครมีรายได้สูงกว่าใคร แต่วัดจากความเสียสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจสร้างชีวิตแบบพวกเราความยิ่งใหญ่ในฐานะผู้นำอยู่ตรงที่คุณเคยเสียสละอะไรบ้าง คุณเคยสร้างสรรค์อะไรที่บ่งชี้ถึงการยกมาตรฐานของทีม ขององค์กรและของแบรนด์บ้าง
คุณเคยสนับสนุนใครที่ตัดสินใจมาอยู่กับคุณด้วยความหวังและมุ่งมั่นตั้งใจอย่างรักษาคำมั่นสัญญาหรือไม่ คุณเคยจริงใจกับคนอื่นหรือไม่ คุณได้ทำหน้าที่ด้วยใจรักผู้อื่น เพื่อให้การกระทำของคุณมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนไปในด้านบวกหรือไม่ คุณได้ทำอย่างทุ่มเท ทำอย่างดีที่สุด ณ ขณะนี้และจะทำให้ดีกว่าในวันต่อๆไปหรือไม่ หรือคุณตั้งเป้าอยู่ให้สบายตัวที่สุด ทำน้อยให้ได้มากที่สุด โกยเงินให้ได้มากที่สุด คุณกำลังเลือกเป็นคนแบบไหนอย

พื่อนๆครับ ไม่ว่าคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณลุกขึ้นมายืนหยัดด้วยการเป็นแบบอย่างที่ดีของคนรุ่นต่อๆไป ด้วยการยืนหยัดสร้างความแตกต่าง เป็นคนมีอัตลักษณ์เชิงคุณค่าที่เสียสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้อื่น ผมเชื่อมั่นว่า เมื่อช่วยให้ผู้อื่นมีชีวิตที่ดีขึ้นได้มากเท่าไหร่ ชีวิตของคุณก็จะยิ่งดีขึ้นมากเท่านั้นครับ

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Prepare For Win


"ความอยากที่จะชนะนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ถ้าไม่มีความอยากที่จะเตรียมตัวเพื่อให้ชนะ"

การสร้างทุกสิ่งในโลกใบนี้ ล้วนต้องมีขั้นตอนของการเตรียมตัวอย่างดีเป็นองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมทีมกีฬาให้พร้อม การเตรียมวัตถุดิบไว้ผลิต การเตรียมตัวสอบ เตรียมตัวสอนและเตรียมพื้นที่สำหรับเพาะปลูก

ดังนั้น หากคุณต้องการความสำเร็จ สิ่งแรกที่คุณต้องทำก่อนก็คือการเตรียมตัวเพื่อความสำเร็จ อย่าคาดหวังว่าจะต้องได้ความสำเร็จโดยคุณไม่ต้องปรับเตรียมอะไรเลย จงจัดเวลาและสมาธิสำหรับการเตรียมตัว ซึ่งประกอบด้วยการเตรียมร่างกาย เตรียมจิตใจ เตรียมความรู้ เตรียมแผนงานและเตรียมแผนพิชิตอุปสรรคปัญหา เมื่อคุณเตรียมสิ่งนี้ได้ดีและต่อเนื่อง เท่ากับว่าคุณได้ดูแลงานสำคัญที่เป็นต้นเหตุของความสำเร็จให้อยู่ในการควบคุมของคุณแล้ว ผลลัพธ์ที่คุณต้องการก็จะเกิดตามมา

เพื่อนๆครับ คนส่วนใหญ่ล้วนมีความอยากที่จะชนะชีวิต แต่มักไม่มีความอยากที่จะเตรียมตัวเพื่อให้ชนะ จงจำไว้ว่า ถ้าคุณยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี มันยังทันที่คุณจะเริ่มต้นใหม่อย่างเข้าใจวิธีการสร้าง จงใส่ความอยากที่จะเตรียมตัวให้แรงพอๆกับความอยากที่จะสร้างผลลัพธ์ เพราะความอยากที่จะชนะอย่างเดียวไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ถ้าคุณไม่มีความอยากที่จะเตรียมตัวเพื่อให้เป็นผู้ชนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หายนะของความคิดเชิงลบ และพลังแห่งศรัทธา

 

    จิตใต้สำนึกของเราไม่แยกแยะระหว่างความคิดที่สร้างสรรค์และทำลายล้าง มันจะทำงานตามสิ่งที่เราใส่ให้มัน ซึ่งก็คือความคิดนั่นเอง จิตใต้สำนึกจะแปรเปลี่ยนความคิดที่เจือปนด้วยความกลัวไปสู่ความเป็นจริง และจะแปรเปลี่ยนความคิดที่แฝงไว้ด้วยกล้าหาญหรือศรัทธาไปสู่ความเป็นจริงด้วยเช่นกัน เหมือนกระแสไฟฟ้าที่เดินเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ถ้าเราใช้อย่างถูกวิธีก็จะมีประโยชน์  แต่ถ้าใช้ผิดวิธี เครื่องจักรอาจพังพินาศ เช่นเดียวกันกับกฎแห่งการเสนอแนะตัวเอง ซึ่งจะนำสันติสุขและความมั่งคั่งร่ำรวยมาให้คุณ หรือนำคุณไปสู่ความล้มเหลว สิ้นหวัง และหมดสิ้นทุกอย่างก็ได้ ทั้งหมดนี้ขึ้นกับความรู้ ความเข้าใจ และการรู้จักนำมันไปใช้

    ถ้าจิตใจของคุณเต็มไปด้วยความคาดหวัง สงสัยและไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองในการนำเอาพลังงานอัจฉริยภาพแห่งจักรวาลมาใช้  คุณก็จะไม่สามารถใช้พลังงานนั้นได้  กฎของการเสนอแนะตัวเองจะนำพาความไม่เชื่อและความสงสัยให้จิตใต้สำนึกแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นจริง เหมือนกระแสลมที่พัดพาเรือลำหนึ่งไปทางตะวันออก แต่พัดพาเรืออีกลำไปตะวันตก

     กฎแห่งการเสนอแนะตัวเองนั้นจะยกระดับคุณขึ้นหรือลงก็ได้ ซึ่งเป็นไปตามวิถีความคิดของคุณเอง
กฎแห่งการเสนอแนะตัวเอง ทำให้บางคนยกระดับตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้

เหมือนอย่างที่บทกวีนี้ได้พรรณนาไว้ โปรดสังเกตการใช้ถ้อยคำแล้วคุณจะเข้าใจความหมายลึกซึ้ง

ถ้าคุณ คิด ว่าคุณล้มเหลว คุณก็จะเป็นตามนั้น
ถ้าคุณ คิด ว่าคุณไม่กล้า คุณก็จะไม่กล้า
ถ้าคุณอยากจะชนะ แต่กลับ คิด ว่าตัวเองไม่สามารถชนะได้
ก็ค่อนข้างแน่นอนว่าคุณจะไม่ชนะ
ถ้าคุณ คิด  ว่าคุณจะพ่ายแพ้ คุณก็แพ้
เหนือสิ่งอื่นใดที่เราค้นพบ
ความสำเร็จเริ่มต้นจากความตั้งใจ
และทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ ในใจของเรานี่เอง
ถ้าคุณ คิด ว่าตัวเองเหนือชั้น คุณก็เป็นเช่นนั้น
คุณต้อง คิด ให้ไกลและไปให้ถึง
คุณต้อง มั่นใจในตัวเอง ก่อน จึงจะได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จ
สงครามชีวิตไม่ได้มุ่งสู่ผู้ที่เข้มแข็งกว่า และรวดเร็วกว่าเสมอไป
เพราะไม่ช้าก็เร็วผู้ชนะที่แท้จริงก็คือ คนที่ คิด ว่าเขาทำได้ 

     ถ้าคุณปรารถนาพลังแห่งศรัทธานี้ จงเรียนรู้จากผู้ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและประสบความสำเร็จ  พื้นฐานของคริสเตียนคือความเชื่อ อาจมีผู้คนมากมายเข้าใจพลังอันยิ่งใหญ่ผิดไป  แต่มหัศจรรย์แห่งคำสั่งสอนและความสำเร็จของพระคริสต์นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าศรัทธา

     ถ้ามีปรากฏการณ์แห่งความอัศจรรย์แก่จิตใจก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากศรัทธาทั้งสิ้น  มหาตมะคานธี ของอินเดีย  เป็นหนึ่งในตัวอย่างอันน่าอัศจรรย์ของศรัทธาคานธีใช้พลังอำนาจได้มากกว่าผู้ใดในยุคสมัยเดียวกัน และเขามีพลังอำนาจ ทั้งๆที่เขาไม่มีเครื่องมือแห่งอำนาจเหมือนคนทั่วๆไป เช่น เงินทอง อาวุธ
กำลังทหารและยุทธปัจจัย คานธีไม่มีเงิน ไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ แต่เขามีพลัง

      พลังอำนาจของเขามาจากไหนกัน? เขาสรรค์สร้างมันมาจากความเข้าใจในหลักการแห่งศรัทธา และผ่านศักยภาพของเขาในการที่จะปลูกฝังศรัทธานั้นเข้าไปในจิตใจและผู้คนสองร้อยล้านคน  คานธีสร้างศรัทธาที่น่าอัศจรรย์ทำให้คนสองร้อยล้านคนรวมตัวกัน   และขับเคลื่อนไปสู่ชาติด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

จะมีพลังอื่นใดในโลกทำเช่นนี้ได้นอกจากศรัทธา?

สุนทรพจน์มูลค่าพันล้านดอลลาร์



จากหนังสือ  คิดแล้วรวย 
 
  ค่ำวันที่ 12 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1900 ผู้ทรงอิทธิพลทางการเงินระดับประเทศ 80 คน ได้มาอยู่ร่วมกันในงานจัดเลี้ยงของยูนิเวอร์ซิตี้คลับ เพื่อเป็นเกียรติแก่ชายหนุ่มผู้หนึ่งจากฝั่งตะวันตก มีแขกในงานไม่รู้กี่คนที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นพยานแห่งความสำเร็จของประวัติศาสตร์อุตสาหกรรม

    เกาะแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1865 โดยกลุ่มคนที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยต่างๆ  เพื่อสานต่อความสัมพันธ์หลังจบการศึกษา ต่อมาใช้เพื่อแสดงงานศิลปะ และเป็นที่ประชุม   สังสรรค์เฉพาะสมาชิก ซึ่งมักเป็นเศรษฐีและบุคคลที่มีชื่อเสียง (ปัจจุบันจัดเป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าของสหรัฐอเมริกา)

     เจ. เอ็ดเวิร์ด ชิมมอนส์ และชาร์ลส์ สจ็วต สมิท รู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณ ชาร์ลส์ เอ็ม. ชวอบ เป็นอย่างมาก พวกเขาได้พบปะกับชวอบที่พิตสเบิร์กจึงได้จัดงานเลี้ยงอาหารเย็นนี้ขึ้นเพื่อแนะนำตัวชวอบ
นักอุตสาหกรรมเหล็กวัย 38 ปี ให้กับสมาคมธนาคารฝั่งตะวันออก  พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเรื่องตื่นเต้นอะไรในงานนี้

     ความจริงแล้ว ผู้คนชาวนิวยอร์กที่อยู่ในงานไม่ค่อยสนใจกับเรื่องศิลปะการพูดเท่าใดนัก หากไม่ต้องการให้แขกในงาน เช่น  ตระกูลสติลล์แมนส์, แฮรี่แมนส์ และแวนเดอร์บิลต์ เบื่อหน่าย เขาก็ควรจะจำกัดคำพูดเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ แม้แต่จอห์น เปียร์ปองต์ มอร์แกน ซึ่งนั่งอยู่ด้านขวาของชวอบ ก็เพียงแต่กล่าวขอบคุณสั้นๆ เท่านั้น  จนทำให้สื่อมวลชลที่ไปทำข่าวกังวลว่าวันพรุ่งนี้อาจไม่มีข่าวไปลงตีพิมพ์

     ดังนั้นเจ้าภาพทั้งสองและแขกพิเศษจึงนั่งรับประทานอาหารไปโดยสนทนากันเพียงเล็กน้อยเป็นเรื่องทั่วๆ ไป มีนายธนาคารและนายหน้าซื้อขายไม่กี่คนที่เคยพบกับชวอบ ผู้ซึ่งดำเนินธุรกิจกับธนาคารโมนอนกาเฮลา ไม่ค่อยมีใครรู้จักมักคุ้นกับเขา แต่ก่อนที่ค่ำคืนนั้นจะผ่านไป พวกเขาทุกคนรวมไปถึงเจ้าพ่อวงการเงินมอร์แกน ต่างก็ถูกชักชวนให้หลงใหล และแล้วเด็กหนุ่มพันล้านแห่งบริษัทยูไนเต็ดสเตตสตีล ก็ได้แจ้งเกิดขึ้นในงานนี้เอง


     โชคไม่ดีนักที่ไม่มีการบันทึกสุนทรพจน์ของชาร์ลส์ ชวอบ ในค่ำคืนนั้น อย่างไรก็ตาม มันเป็นสุนทรพจน์ง่ายๆ ที่สำนวนอาจไม่ดีนัก (ชวอบไม่ค่อยใส่ใจกับการพิถีพิถันในการใช้ภาษามากนัก)
แต่เต็มไปด้วยคำคม และมีพลังกระตุ้น จนมีผลทำให้เกิดการรวบรวมเงินได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์
หลักจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงการระดมเงินก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าชวอบจะพูดนานถึง 90 นาที
มอร์แกนยังได้ขอพูดคุยนอกรอบต่ออีกเป็นชั่วโมง

      มหัศจรรย์แห่งบุคลิกภาพของชวอบได้เป็นที่ประจักษ์และทรงพลังอย่างยิ่งแต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ
โครงการที่ชัดเจนในการเพิ่มพูนมูลค่าของเหล็กกล้า มีคนมากมายพยายามทำให้มอร์แกนสนใจในการผูกขาดกิจการการค้าเหล็กกล้า หลังจากได้ผูกขาดกิจการต่างๆไปแล้ว เชน ขนมปังกรอบ สายโทรเลข น้ำตาล ยาง วิสกี้ น้ำมัน และหมากฝรั่ง

      จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ เป็นนักเก็งกำไร ซึ่งสนใจในเรื่องการควบรวมอุตสาหกรรมเหล็กกล้า แต่มอร์แกนไม่ค่อยไว้ใจในเขา ส่วนพี่น้องตระกูลมัวร์ บิล และจิม นักค้าหุ้นแห่งชิคาโก ผู้ซึ่งเคยควบรวมกิจการบริษัทขนมปังกรอบก็สนใจเช่นกัน แต่ในที่สุดก็ล้มเหลว ส่วน อัลเบิร์ต เอช. แกรี่ นักกฎหมายระดับประเทศก็สนใจ แต่กิจการเขาไม่ใหญ่พอที่จะดำเนินการได้
   
      จนกระทั่งสุนทรพจน์ของชวอบนี่เองที่ทำให้ เจ. พี. มอร์แกน มองเห็นภาพการทำธุรกรรมทางการเงินอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้ว่าโครงการนั้ดูเหมือนเป็นความเพ้อฝันก็ตาม  การระดมเงินทุนซึ่งได้เริ่มต้นมาเกือบหนึ่งชั่วอายุคนแล้ว  ได้ดึงดูดบริษัทขนาดเล็กนับพันที่มีปัญหาการบริหารจัดการเข้ามารวมกันเป็นบริษัทใหญ่ที่มีศักยภาพมากขึ้น

     นักธุรกิจเจ้าเล่ห์ จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ ได้เข้าสู่สงครามการแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าด้วยการก่อตั้งบริษัทอเมริกันสตีลแอนด์ไวร์ และยังได้ร่วมกับมอร์แกนสร้างบริษัทเฟเดอรัลสตีลอีกด้วย


     ส่วนทางด้านของ แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ก็มีการควบรวมกิจการให้ใหญ่ขึ้น  ด้วยการรวมหุ้นส่วนธุรกิจทั้งสิ้น 53 บริษัท ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ควบรวมกิจการอีกแต่เป็นบริษัทเล็กๆ  และไม่มีความสำคัญ บริษัทเล็กๆ เหล่านี้พยายามรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แต่เกือบทุกบริษัทไม่สามารถทำลายองค์กรขนาดใหญ่ของคาร์เนกีได้ เรื่องนี้มอร์แกนก็รู้ดี และคาร์เนกีก็รู้เช่นกัน

     ด้วยวิสัยทัศน์อันสูงส่งของคาร์เนกี ครั้งแรกดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่ต่อมากลับลายเป็นความแค้นเคือง
กลุ่มบริษัทเล็กๆ ของมอร์แกนพยายามสกัดกั้นธุรกิจของคาร์เนกี เมื่อพยายมทำกันจนรุนแรงเกินไป
อารมณ์ของคาร์เนกีก็เปลี่ยนเป็นความโกรธและตอบโต้กลับไป เขาตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานเหล็กประกบกับคู่แข่งทางธุรกิจ ทั้งๆ  ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจผลิตภัณฑ์ประเภทลวด ท่อเหล็ก ห่วง หรือเหล็กแผ่นเลย  เขาพอใจที่จะผลิตเฉพาะเหล็กกล้าซึ่งเป็นวัตถุดิบเพื่อให้คนอื่นนำไปแปรรูป

     เขาได้เริ่มทำผลิตภัณฑ์เหล็กทุกรูปแบบที่ต้องการ คาร์เนกีได้ร่วมกับชวอบซึ่งขณะนั้นทำงานเป็นผู้จัดการ เพื่อวางแผนที่จะทำให้คู่แข่งหลังชนกำแพง  ดังนั้นจากสุนทรพจน์ของ ชาร์ลส์ เอ็ม. ชวอบ มอร์แกนจึงได้มองเห็นปัญหาในการควบรวมบริษัทอื่นๆ ว่า การควบรวมกิจการจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้เลย ถ้าปราศจากคาร์เนกียักษ์ใหญ่แห่งวงการ

    สุนทรพจน์ของชวอบในค่ำคืนของวันที่ 12 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1900 ได้แสดงให้เห็นอย่างไร้ข้อสงสัยว่า
มอร์แกนสามารถเข้าไปครอบครองอาณาจักรธุรกิจอันกว้างใหญ่ไพศาลของคาร์เนกีได้ เขาได้พูดถึงโลกแห่งอนาคตของเหล็ก  การปรับปรุงองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานเหล็กที่ไม่ประสบความสำเร็จและการสร้างสินทรัพย์ให้เพิ่มขึ้น การขนส่งสินแร่ การบริหารจัดการ และการเข้าสู่ตลาดในประเทศ

     ยิ่งกว่านั้น เขายังได้พูดถึงคนที่คิดไม่ซื่อซึ่งรอจังหวะความผิดพลาดของผู้อื่น พยายามผูกขาดการค้าขายแต่เพียงผู้เดียว ปั่นราคา คอยรอรับเงินปันผล ชวอบได้ประณามระบบที่เลวร้ายนี้ นโยบายที่ไม่มีวิสัยทัศน์นี้จะไปจำกัดตลาดการค้า สวนทางกับการเรียกร้องของผู้คนที่ต้องการให้ธุรกิจทั้งหมดขยายตัว เขาเสนอว่าถ้าราคาเหล็กถูกลง ตลาดการค้าเหล็กจะขยายตัว การให้เหล็กก็จะมากขึ้น และสามารถขยายการค้าไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลก

      อาจไม่ค่อยมีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วชวอบมีหัวคิดดีมากในเรื่องการผลิตสมัยใหม่ ดังนั้นงานเลี้ยงที่ยูนิเวอร์ซิตี้คลับคืนนั้น จึงได้นำมาซึ่งบทสรุป  มอร์แกนกลับบ้านแล้วนั่งคิดเกี่ยวกับการคาดการณ์ของชวอบ  ส่วนชวอบก็กลับไปพิตสเบิร์กเพื่อเริ่มดำเนินธุรกิจให้คาร์เนกีต่อไป ขณะที่แกรี่และคนอื่นที่เหลือกลับไปเตรียมติดตามกระดานหุ้น

      เวลาผ่านไปไม่นานนัก มอร์แกนใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการพิจารณาเหตุและผลที่ชวอบได้บอกไว้ เมื่อเขายืนยันกับตัวเองว่า ไม่มีอุปสรรคทางการเงินสำหรับเขาแต่อย่างใด เขาจึงได้ติดต่อและขอพบกับชวอบ ชวอบบอกเขาไปว่าคาร์เนกีคงไม่พอใจนักถ้ารู้ว่าประธานกรรมการบริษัทของเขาติดต่ออย่างสนิทสนมกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งวอลล์สตรีต จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ ได้แนะนำว่า ถ้าชวอบปรากฏตัวในโรงแรมเบลเลอวู รัฐฟิลาเดลเฟียแล้วล่ะก็ เจ. พี. มอร์แกน ก็อาจไปอยู่ที่นั่นโดยบังเอิญ แต่เมื่อชวอบมาถึงที่นั่นแล้ว บังเอิญมอร์แกนเกิดป่วยกะทันหันอยู่ที่บ้านในนิวยอร์ก เขาจึงได้เชิญชวอบให้ไปพบ

       ชวอบเดินทางไปนิวยอร์กเพื่อพบกับนักการเงินผู้ยิ่งใหญ่ที่ห้องสมุดในบ้านพักของเขา ถึงตอนนี้นักประวัติศาสตร์ทางเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบของละครเรื่องนี้ แอนดรูว์ คาร์เนกี เป็นคนจัดฉากทั้งหมด ตั้งแต่การกล่าวสุนทรพจน์ของชวอบในงานเลี้ยงอาหารค่ำไปจนถึงการพูดคุยกับมอร์แกนราชาแห่งการเงินในคืนวันอาทิตย์ แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

     กล่าวคือ เมื่อชวอบถูกมอร์แกนเรียกมาจัดการข้อตกลงให้สำเร็จผล ชวอบเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคาร์เนกีที่เขาเรียกว่า  “นายน้อย” นั้น จะสนใจรับฟังการเสนอซื้อขายครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน  โดยเฉพาะขายให้กับคนกลุ่มคนที่คาร์เนกีค่อนข้างดูแคลน   ชวอบตอบรับการประชุมด้วยข้อความซึ่งเขียนด้วยลายมือถึง 6 หน้ากระดาษ   บรรยายถึงศักยภาพของบริษัทเหล็กแต่ละแห่งที่เขาระบุว่าเป็นดาวรุ่ง

       ทั้งสี่คนได้ไตร่ตรองเรื่องนี้ตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าผู้นำการพูดคุยคือ มอร์แกน ผู้ซึ่งมีความเชื่อว่าเงินคือพระเจ้า คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับเขาคือหุ้นส่วนธุรกิจมีระดับโรเบิร์ต เบคอน คนที่สามคือ  จอห์น ดับเบิลยู. เกตส์ ผู้ซึ่งมอร์แกนดูหมิ่นว่าเป็นพวกเก็งกำไร แต่ก็ใช้เขาเป็นลูกมือ คนที่สี่คือ ชวอบ  ผู้รอบรู้เรื่องการผลิตและขายเหล็กมากกว่าใครทั้งหมด

       ตลอดการประชุมนั้นไม่มีใครติดใจสงสัยในข้อมูลของชวอบ ถ้าเขาบอกว่าบริษัทไหนคุ้มค่ากับการลงทุน  มันก็เป็นตามนั้น นอกจากนี้เขายังยืนยันให้ควบรวมกิจการเฉพาะบริษัทที่เขาเสนอมาเท่านั้น
เขานำเสนอแต่บริษัทใหญ่ๆ ที่จะไม่มีการแยกกันอีกต่อไป และไม่เอาใจกลุ่มเพื่อนของมอร์แกนซึ่งโลภมากต้องการโยนบริษัทตัวเองให้มอร์แกนรับผิดชอบภาระทางการเงิน

     เมื่อรุ่งอรุณมาถึง มอร์แกนลุกขึ้นยืน ถามคำถามเดียวที่ยังเหลืออยู่ เขาถามชวอบว่า

“คุณคิดว่าคุณสามารถโน้มน้าวให้แอนดรูว์ คาร์เนกี ตัดสินใจขายกิจการหรือไม่?” 

“ผมจะลองดู” ชวอบตอบ
“ถ้าคุณทำให้เขายอมขาย ผมจะตกลงตามที่คุณเสนอ” มอร์แกนกล่าว


   เท่านี้ก็น่าพอใจ แต่คาร์เนกีจะขายเท่าไร? เขาต้องการเงินเท่าไร? (ชวอบคิดไว้ว่าประมาณ 320 ล้านดอลลาร์) เงื่อนไขของการจ่ายจะเป็นอย่างไร? หุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ? พันธบัตร? หรือเงินสด?
น่นอนว่าไม่มีใครจ่ายเงินมากขนาดนั้นด้วยเงินสดได้ ในการแข่งขันกอล์ฟที่สนามในเซนต์แอนดรูว์ เมืองเวสต์เชสเตอร์ คาร์เนกีสวมเสื้อหนาว  และชาร์ลีก็ยังคงพูดไม่หยุดเหมือนเคย แต่ไม่มีการพูดคุยเรื่องธุรกิจ

     จนกระทั่งได้นั่งคุยกันในเรือนรับรองของคาร์เนกี เช่นเดียวกับที่ได้เกลี้ยกล่อมให้มหาเศรษฐี 80 คนที่ยูนิเวอร์ซิตี้คลับเคลิบเคลิ้มมาแล้ว ชวอบให้สัญญากับคาร์เนกีถึงช่วงเกษียณอายุแสนสบายด้วยเงินหลายล้านเพื่อให้เขาพอใจ ในที่สุดคาร์เนกีก็ยินยอม เขาเขียนตัวเลขใส่กระดาษ ยื่นส่งให้ชวอบแล้วพูดว่า “เอาล่ะ นั่นคือราคาที่เราจะขาย”  ตัวเลขนั้นประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ มันใกล้เคียงกับที่ชวอบเคยกำหนดไว้คือ 320 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มให้อีก 80 ล้านดอลลาร์ สำหรับมูลค่าที่เพิ่มขึ้นใน 2 ปีผ่านมา

     ต่อมาบนดาดฟ้าเรือทรานส์แอตแลนติก คาร์เนกีกล่าวกับมอร์แกนว่า

 “ผมคิดว่า ผมต้องการเงินเพิ่มอีก 100 ล้านดอลลาร์”  

“ถ้าคุณขอมา ผมก็ให้”  มอร์แกนตอบอย่างอารมณ์ดี

  เมื่อผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษได้รับโทรเลขว่า บริษัทเหล็กระดับโลกในต่างประเทศมีการควบรวมกิจการกัน
ย่อมกลายเป็นข่าวใหญ่อย่างแน่นอน ประธานแฮดเลย์แห่งเยล ถึงกับประกาศว่า ในรอบ 25 ปี  จากนี้ไปจะไม่มีการควบรวมกิจการยิ่งใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นให้เห็นอีก คีน-นักค้าหุ้นรีบกลับไปทำงานของเขาคือ นำหุ้นตัวใหม่ให้สาธารณชนรับรู้ถึงเงินทุนอันมหาศาลเกือบ 600 ล้านดอลลาร์ คาร์เนกีได้เงินล้านของเขา

    มอแกนได้ 62 ล้านดอลลาร์สำหรับความพยายามในครั้งนี้ รวมไปถึงเกตส์ และแกรี่ก็ได้เงินล้านเช่นกัน

ความร่ำรวยเริ่มจากความคิด


     เรื่องราวของธุรกิจใหญ่ที่คุณได้อ่านจบไปแล้วนั้น  เป็นการอธิบายได้อย่างดีถึงวิธีที่จะเปลี่ยนเป็นปณิธานไปสู่ผลในทางปฏิบัติ  องค์กรยักษ์ใหญ่นั้นเกิดจากจิตใจของคนเพียงคนเดียว  การวางแผนให้องค์กรอุตสาหกรรมเหล็กกล้ามีความมั่นคงทางการเงิน  ก็เกิดจากการสร้างสรรค์ของคนคนเดียวกัน ศรัทธา ปณิธาน จินตนาการ และความมุ่งมั่นของเขา  อันเป็นส่วนประกอบสำคัญในการถือกำเนิดของยูไนเต็ดสเตตสตีล

     มูลค่าการซื้อขายโรงงานถลุงเหล็กและอุปกรณ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายนี้ดูสมเหตุสมผล แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนพบว่า การประเมินสินทรัพย์ของบริษัทนั้น มูลค่าของมันได้เพิ่มขึ้นถึง 600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน)  การเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์นี้ก็เนื่องมาจากการบริหารจัดการเพื่อรวบรวมธุรกิจให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง

   ไอเดียของ ชาร์ลส์ เอ็ม. ชวอบ รวมกับศรัทธาที่ถูกส่งผ่านเข้าไปสู่จิตใจของ เจ. พี. มอร์แกน และคนอื่น กลายเป็นผลกำไรถึง 600 ล้านดอลลาร์ ผลกำไรนี้มาจาก “ความคิด” อย่างเดียวเท่านั้น บริษัทยูไนเต็ดสตีลเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นบริษัทที่ร่ำรวยและยิ่งใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งในสหรัฐอเมริกา จ้างงานคนนับพันคนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นตลาดการค้าเพิ่มขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงผลกำไร 600 ล้านดอลลาร์ที่ชวอบใช้ความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา

   ความร่ำรวยเริ่มต้นมาจากความคิด ส่วนจะได้มากน้อยเพียงไรนั้น ขึ้นกับความคิดในจิตใจของแต่ละคนที่จะนำไปลงมือปฏิบัติ ศรัทธาจะทำลายอุปสรรคต่างๆ จงจำไว้ว่า เมื่อคุณพร้อมที่จะเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อสิ่งที่คุณต้องการ รางวัลแห่งความสำเร็จจะรอคุณอยู่

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อารมณ์แห่งศรัทธา ความเชื่อ และจิตใจ

ศรัทธา ความเชื่อ เป็นปัจจัยสำคัญของจิตใจ


     เมื่อศรัทธาหลอมรวมเข้ากับความคิดจะทำให้จิตใต้สำนึกสามารถรับรู้คลื่นความคิดนั้น  จิตใต้สำนึกจะแปลความหมายและส่งมันไปสู่อัจฉริยภาพแห่งจักรวาล(infinite intelligence)

    อารมณ์แห่งศรัทธา ความรัก และกามารมณ์ เป็นอารมณ์เชิงบวกที่ทรงพลังที่สุด  เมื่อสามสิ่งนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันมันจะแต่งแต้มสีสันให้กับความคิด  ซึ่งจะทำให้มันสามารถเข้าสู่จิตใต้สำนึกได้  ที่นั่นมันจะถูกแปรเปลี่ยนไปสู่รูปแบบซึ่งพร้อมที่จะรับการตอบสนองจากอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล

     ข้อความต่อไปนี้สำคัญมาก ในการทำความเข้าใจกับความสำคัญของการเสนอแนะตัวเอง  เพื่อแปรเปลี่ยนปณิธานไปเป็นสิ่งที่จับต้องได้และเงินทอง

คำว่า "ศรัทธา"  หมายถึงสภาวะจิตใจที่จะถูกชักนำและสร้างสรรค์ด้วยการยืนยันหรือออกคำสั่งซ้ำๆ ไปยังจิตใต้สำนึก  ผ่านหลักการของการเสนอแนะตัวเอง

การยืนยันกับตัวเองซ้ำๆ นี้   เหมือนกับการออกคำสั่งกับจิตใต้สำนึกของคุณและมันเป็นวิธีการเดียวในการเสริมสร้างอารมณ์แห่งศรัทธา   (ความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าคุณสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้)

ลองพิจารณาว่า 

   ทำไมคุณจึงได้มาพบกับข้อความนี้ นั่นเพราะคุณต้องการที่จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงพลังความคิดแห่งปณิธาน  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้เปลี่ยนเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งรวมไปถึงเงินทองด้วย  คำแนะนำนี้วางอยู่บนพื้นฐานของ การเสนอแนะตัวเองและจิตใต้สำนึก

   และคุณจะได้เรียนรู้เทคนิคที่จะทำให้จิตใต้สำนึกเชื่อว่า ตัวคุณเองมีความเชื่อในสิ่งที่ร้องขอจิตใต้สำนึกจะจัดการกับความเชื่อนั้น และส่งมันกลับมาหาคุณในรูปแบบของ “ศรัทธา”  ตามมาด้วยแผนการที่จะนำสิ่งที่คุณได้ตั้งปณิธานไว้มาให้คุณ

   คุณจะต้องพัฒนาสภาวะจิตใจแห่งความมีศรัทธาในตัวเองและศักยภาพของตัวเองให้เกิดขึ้นมา  เป็นความจริงที่ว่า  "ศรัทธา"  เป็นสภาวะจิตใจที่จะพัฒนาให้เกิดในตัวคุณเองได้ตามธรรมชาติก็ต่อเมื่อคุณได้นำหลักการเหล่านี้ไปใช้  อารมณ์หรือความรู้สึกแห่งห้วงความคิด  เป็นสิ่งที่ทำให้ความคิดของคุณมีชีวิตชีวาและจะส่งผลต่อกิจกรรมที่จะทำต่อไป

     อารมณ์แห่งศรัทธา อารมณ์รัก และกามารมณ์  เมื่อผสมผสานเข้ากับพลังความคิดจะนำไปสู่การปฏิบัติที่สัมฤทธิผลความคิดที่ถูกเจือปนด้วยอารมณ์  (ความรู้สึก) และผสมผสานด้วยศรัทธา (ความเชื่อในศักยภาพของตนเอง)  จะเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพของตัวมันเองอย่างมีปฏิสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามความจริงข้อนี้ไม่ได้เกิดเฉาะกับพลังความคิดที่เปี่ยมด้วยศรัทธาเท่านั้น แต่เป็นจริงกับทุกอารมณ์รวมไปถึงอารมณ์เชิงลบด้วย

     นั่นก็หมายความว่า  จิตใต้สำนึกนั้นจะแปรเปลี่ยนไปสู่พลังความคิดเชิงลบหรือในทางทำลายล้างได้เช่นเดียวกันกับการแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือสร้างสรรค์นักอาชญาวิทยาได้เคยพูดถึงประเด็นนี้ไว้ว่า

“ครั้งแรกที่คนเราสัมผัสกับอาชญากรรม จะรังเกียจมัน แต่ถ้าเขายังเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่อไปอีกระยะหนึ่ง จะเริ่มเคยชินและทนกับมันได้ เขาจะรับมันไว้และถูกครอบงำในที่สุด” 

    นี่เป็นปฏิสัมพันธ์ของพลังความคิดเชิงลบที่ได้ผ่านเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกมากพอ  จนทำให้จิตใต้สำนึกยอมรับมันในที่สุด จิตใต้สำนึกจะแปรเปลี่ยนพลังนั้นให้เกิดผลในทางปฏิบัติ  นี่คือคำอธิบายว่าทำไมปรากฏการณ์เลวร้ายจึงมักเกิดขึ้นกับคนนับล้านที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย  มีผู้คนนับล้านที่เชื่อในเคราะห์กรรมของตัวเองที่ยากไร้และล้มเหลว  เพียงเพราะพลังที่เขาเรียกว่าความโชคร้าย และมีความเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมได้

ความเป็นจริงแล้วตัวพวกเขาเองต่างหากที่เป็นผู้สร้างความอับโชคให้ตัวเอง  เนื่องจากความเชื่อในโชคร้าย  ได้เข้าไปสู่จิตใต้สำนึกแบบแปรเปลี่ยนไปสู่ผลในทางปฏิบัติ ความเชื่อหรือศรัทธาของคุณเป็นรากฐานที่จะกำหนดการทำงานของจิตใต้สำนึก ดังนั้นผมจึงขอเน้นย้ำว่า คุณจะได้ประโยชน์จากการส่งปณิธานที่คุณปรารถนาลงไปสู่จิตใต้สำนึก เพื่อแปรเปลี่ยนให้เกิดผลในทางปฏิบัติหรือเป็นเงินทอง

จิตใต้สำนึกจะแปรเปลี่ยนให้เกิดผลในทางปฏิบัติด้วยวิถีทางที่สะดวกและตรงที่สุด  คำสั่งใดก็ตามที่ลงไปสู่จิตใต้สำนึกด้วยความเชื่อและศรัทธาย่อมจะบังเกิดผล  โปรดสังเกตประเด็นนี้ให้ดี เนื่องจากมันเป็นหนทางที่จะทำให้จิตใต้สำนึกทำงาน

เมื่อคุณให้คำแนะนำจิตใต้สำนึกด้วยการเสนอแนะตนเองแล้ว คุณจะสามารถหลอกล่อจิตใต้สำนึกได้โดยไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งคุณ ตัวผมเองก็เคยได้ใช้วิธีนี้หลอกล่อจิตใต้สำนึกของผม

 เมื่อคุณจะเรียกใช้จิตใต้สำนึกโดยการหลอกล่ออย่างแนบเนียนนั้น  คุณจะต้องทำตัวเองให้เสมือนว่าได้ครอบครองสิ่งที่ต้องการไว้เรียบร้อยแล้ว

    คุณจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นอารมณ์เชิงบวกให้เป็นกำลังหลักของจิตใจ อย่างไรก็ตามศรัทธาในตัวคุณไม่ได้มาจากการอ่านเพียงแค่คำแนะนำ  คุณจะต้องเข้าใจทฤษฎีอย่างถ่องแท้และเริ่มนำมันไปปฏิบัติ
ด้วยประสบการณ์และการลงมือปฏิบัติจะทำให้คุณสามารถพัฒนาศักยภาพในการผสมผสานศรัทธาเข้ากับคำสั่งที่ส่งลงไปในจิตใต้สำนึกได้

    เมื่อคุณมีศรัทธาในความสามารถของตัวเองแล้ว คุณจะสามารถออกคำสั่งต่อจิตใต้สำนึกได้  ซึ่งจิตใต้สำนึกจะยอมรับและตอบสนองในทางปฏิบัติทันที การที่จิตใจของคุณมีอารมณ์เชิงบวกเป็นหลัก
จะช่วยสนับสนุนให้เกิดศรัทธาขึ้นในจิตใจ

ศรัทธาในตัวเองเป็นสภาวะจิตใจ ที่คุณสามารถสร้างได้ด้วยการเสนอแนะตนเอง

ตลอดทุกช่วงวัยของเรา ผู้นำทางศาสนามักจะตักเตือนให้ผู้คน “มีศรัทธา” เมื่อเขากล่าวถึงการมีศรัทธา จะดูเหมือนว่าไม่มีเหตุผล เป็นแค่หลักความเชื่อทางศาสนา แต่สิ่งที่พวกเขาพลาดก็คือ ไม่ได้บอกว่าการจะมีศรัทธานั้นทำอย่างไร พวกเขาไม่ได้บอกให้รู้ว่า

“ศรัทธาเป็นสภาวะจิตใจที่สร้างขึ้นมาได้ด้วยการเสนอแนะตนเอง” 

ในบล็อกนี้ ได้อธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายถึงหลักการเพิ่มศักยภาพในตัวคุณ  เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายด้วยศรัทธาซึ่งเดิมเราไม่ได้มีมาก่อน  ก่อนที่เราจะเริ่มต้น คุณควรจะถูกย้ำเตือนอีกครั้งว่า

ศรัทธา เป็น “น้ำทิพย์อมตะ” ที่ให้ชีวิต ให้พลัง และให้ผลในทางปฏิบัติแก่พลังความคิด  ข้อความข้างบนนี้มีคุณค่าในการอ่านซ้ำ 2 ครั้ง , 3 ครั้ง และ 4 ครั้ง มันยิ่งมีคุณค่าถ้าคุณอ่านออกมาดังๆ
ศรัทธา เป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งร่ำรวย 
ศรัทธา เป็นพื้นฐานของความมหัศจรรย์ และความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายด้วยกฎทางวิทยาศาสตร์
ศรัทธา เป็นภูมิต้านทานความล้มเหลวเพียงอย่างเดียวที่เรารู้จัก
ศรัทธา เป็นสิ่งสำคัญในการผสมผสานกับปณิธาน เพื่อทำให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับอัจฉริยภาพ
แห่งจักรวาลได้
ศรัทธา เป็นสิ่งสำคัญในการแปรเปลี่ยนคลื่นความคิดที่สร้างสรรค์จากจิตใจให้เข้าไปสู่จิตวิญญาณ
ศรัทธา เป็นวิถีทางเดียวที่จะควบคุมอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล และนำไปใช้ประโยชน์

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อุปสรรคเพียงครั้งคราว แต่ความสำเร็จอยู่นาน


หนึ่งในสาเหตุของความล้มเหลวที่พบบ่อยที่สุดคือ การที่คนเราพบอุปสรรคแล้วท้อถอยไปเสียก่อน  ทั้งๆที่จริงแล้วอุปสรรคนั้นอยู่แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น 

      เมื่อเกิดความผิดพลาดเพียงครั้งหรือสองครั้งแรกก็ทำให้ทุกคนรู้สึกผิด  ระหว่างยุคตื่นทองของสหรัฐอเมริกา บุรุษชื่อ อาร์.ยู.ดาร์บี้ ก็มีคุณลุงที่เป็นโรคตื่นทองเหมือนกัน  เขารีบเดินทางไปฝั่งตะวันตกที่โคโลราโด เพื่อไปขุดทองคำและคาดหวังว่าจะร่ำรวย   เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนเราสามารถขุดทองได้จากความคิดของเราเอง  ซึ่งอาจมีมูลค่ามากกว่าขุดจากพื้นดินเสียอีก เขาขอสิทธิ์ในการขุดทองคำ
แล้วจึงเริ่มเข้าไปทำงานขุดและร่อนทอง


    หลังจากทำงานได้หลายสัปดาห์ เขาได้รับรางวัลแห่งความพยายามคือ ขุดพบแร่ทองคำเหลืองอร่ามเขารีบปิดเหมืองทองเล็กๆของเขา  โดยไม่บอกให้ใครรู้และกลับไปบ้านเกิดที่วิลเลียมเบิร์ก รัฐแมรีแลนด์เขาบอกกับญาติและเพื่อนบ้านบางคนถึงการค้นพบทองคำ  พวกเขาได้รวบรวมเงินกันเพื่อสร้างเหมืองขุดเจาะทองคำ อาร์.ยู.ดาร์บี้ ได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับลุงของเขา  และรีบกลับไปทำงานที่เหมืองต่อ

     หลุมแรกถูกขุด เมื่อได้ทองคำแล้วก็ส่งไปหลอม  ผลตอบแทนที่ได้กลับมาพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในเจ้าของเหมืองทองคำที่รวยที่สุดในโคโลราโด  ถ้าเขาเจอทองคำอีกสักสองสามหลุม นอกจากจะล้างหนี้สินได้ทั้งหมดแล้วยังสามารถสร้างผลกำไรได้มหาศาล  ยิ่งขุดลึกลงไปเท่าไหร่ ความหวังของดาร์บี้และลุงของเขายิ่งมากขึ้นเท่านั้น

      แต่แล้วก็มีบางสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นคือ เมื่อขุดต่อไปกลับไม่พบแร่ทองคำอีกเลย ความหวังพังทลายลง เขาพยายามขุดต่อไปอีกแต่ก็ยังไม่พบทองคำ  ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจที่จะหยุด  เขาขายเหมืองทองคำนั้นต่อให้พ่อค้าซื้อขายของเก่าคนหนึ่งในราคาเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์  แล้วนั่งรถไฟกลับบ้าน

      ภายหลังพ่อค้าคนนั้นได้ขอคำปรึกษาจากวิศวกรพบว่า  โครงการนี้ล้มเหลวเพราะเจ้าของเหมืองไม่คุ้นเคยกับเส้นทางของสายแร่ทองคำ จากการคำนวณ วิศวกรบอกว่าแหล่งแร่ทองคำอยู่ห่างออกไปแค่ 3 ฟุต จากจุดที่ดาร์บี้หยุดขุด  เหมืองแร่ทองคำนั้นได้ทำเงินให้พ่อค้าคนนั้นนับล้านดอลลาร์  เพียงเพราะเขารู้ว่าควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจ

      หลังจากนั้น  ดาร์บี้ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะเอาเงินทุนกลับคืนมา เขาค้นพบว่าปณิธานสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองได้  การเข้าสู่ธุรกิจขายประกันชีวิตทำให้เขาค้นพบตัวเอง  อย่าลืมว่าเขาสูญเสียโชคลาภไปเพราะว่าหยุดไปเสียก่อน ทั้งๆที่อีก 3 ฟุตก็จะถึงทองคำ ดาร์บี้ได้กำไรงามจากงานใหม่ เขาพูดกับตัวเองว่า

 “ผมเคยหยุดขุดทั้งๆที่อีก 3 ฟุตก็จะถึงทองคำ  ดังนั้นเวลาขยายประกัน ผมจึงไม่เคยหยุดขายเมื่อลูกค้าตอบว่า ‘ไม่’”

     ดาร์บี้ได้กลายเป็นหนึ่งในนักขายไม่กี่คนที่ทำยอดขายประกันชีวิตได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี  เขายึดมั่นต่อบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการล้มเลิกกลางคันในการทำธุรกิจเหมืองทองคำ

ในชีวิตจริงก่อนที่ความสำเร็จจะมาถึง เราต้องไม่หวั่นไหนต่อความล้มเหลวที่เป็นเพียงครั้งคราว

     หรือบางครั้งอาจต้องพบความพ่ายแพ้บ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ความล้มเหลวเอาชนะจิตใจเราได้
เราจะทำสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดและง่ายที่สุดก็คือ ล้มเลิกมันไปเสีย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งซึ่งคนส่วนใหญ่ทำกัน

มีผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า 500 คนในสหรัฐอเมริกา เคยบอกไว้ว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มักรออยู่
หลังจากจุดซึ่งเขาพบกับความพ่ายแพ้แค่หนึ่งก้าว ความล้มเหลวจะหลอกลวงเราด้วยการเยาะเย้ยถากถาง  มันชอบทำให้คุณสะดุดล้มเมื่อใกล้จะถึงความสำเร็จอยู่แล้ว

   คุณต้องอดทนเพื่อก้าวไปให้ถึงความสำเร็จ   และผมมีวีดีโอหนึ่งฝากไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ได้อ่านบทความถึงตอนนี้ครับ   ขอให้ทุกคนมีกำลังใจเพื่อดำเนินชีวิตต่อไปครับ  แล้วพบกันใหม่  สวัสดี

15 แนวคิดของผู้ประสบความสำเร็จ


“บุคคลที่ประสบความสำเร็จต่างๆของโลกนั้น ล้วนแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน –พวกเขาคิดต่างจากคนทั่วไป"

1. คิดให้เป็นกิจวัตร การจะเป็นนักคิดที่เก่งจำเป็นต้องมีการฝึกฝนเป็นประจำ

แดน แคธี ซีอีโอของ Chick-fil-A แฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดชื่อดังของสหรัฐจัดเวลาให้ตนเองครึ่งวันทุกๆ 2 สัปดาห์ 1 วันทุกๆ เดือน และ 2-3 วัน ทุกๆ ปีเพื่อคิดตริตรองและวางแผนในเรื่องต่างๆ

2. ใช้กฏ 80/20 นั่นคือ อุทิศ 80% ของพลังงานทั้งหมดในตัวคุณให้กับ 20% ของกิจกรรมที่สำคัญที่สุด

จำไว้เสมอว่าคุณไม่สามารถอยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง รู้จักคนทุกคนทำอะไรได้ทุกสิ่ง หลีกเลี่ยงการทำหลายๆ กิจกรรมพร้อมกันหากมันทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคุณลดลง

3. เปิดกว้างตนเองแก่ความเห็นที่แตกต่างและเปิดใจแก่ผู้คนหลากหลายประเภทไอเดียเป็นสิ่งสำคัญ แต่การต่อยอด

4. ไอเดียนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน

เตือนตัวเองไว้เสมอว่าไอเดียนั้นไม่มีสารกันบูด จงรีบทำอะไรกับไอเดียดีๆ ที่เราคิดขึ้นมาได้ก่อนที่มันจะหมดอายุไปเสีย

5. ความคิดที่ดีนั้นใช้เวลาในการสร้าง

อย่าเพิ่งลงหลักปักฐานกับสิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของคุณความคิดที่ดีมักจะต้องมีการปรับแต่งให้มีรูปร่างและผ่านกระบวนการทดสอบมาแล้ว

6. คนฉลาดมักจะชอบทำงานร่วมกับคนฉลาด

การคิดร่วมกันมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าคล้ายกับเป็นทางลัดให้กันและกันการระดมความคิดจึงเป็นวิธีการที่เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วให้กับงานต่างๆ

7. ความคิดกระแสนิยมอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุดเสมอไป

อย่าเพียงทำตามผู้อื่นเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ใครๆได้ไตร่ตรองมาแล้วจึงย่อมจะดีเสมอ ผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่ากว่าใครๆ

นั้นมักคิดอะไรด้วยตนเอง เขาจึงโดดเด่นจากฝูงชน

8. วางแผนหรือกลยุทธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดความผิดพลาด

ให้แตกประเด็นใหญ่เป็นส่วนย่อยๆ เพื่อแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้นจากนั้นอย่าลืมตรวจสอบทรัพยากรและเครื่องมือต่างๆ ที่คุณมีและจัดวางมันให้เหมาะสมในการแก้ปัญหา

9. หาเวลาคิดและทำในสิ่งที่แตกต่างอยู่เสมอๆ

ลองทำอะไรในกิจวัตรประจำวันที่คุณยังไม่เคยทำมาก่อนเพื่อการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิตและหามุมมองกับไอเดียความคิดที่สดใหม่

10. ความคิดคุณไม่มีทางที่จะถูกต้องเสมอไป

ให้โอกาสกับความคิดผู้อื่นบ้าง

11. มีกำหนดการอยู่เสมอ อย่าวางแผนเพียงวันต่อวัน

ควรวางแผนล่วงหน้าระยะยาวให้เป็นนิสัยคิดก่อนว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรจากใคร คนฉลาดจะไม่เข้าสู่การประชุม งานสังสรรค์หรือการจิบกาแฟพูดคุยอย่างไร้จุดหมาย (ใช้เวลาไปสร้างสรรงานอื่นๆดีกว่าเสียเวลาประชุมอะไรที่ไม่มีผลผลิตที่มีค่าพอ) นี่เป็นการคิดเป็นระบบเหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์การคิดที่มาจากการไตร่ตรองแล้วจะทำให้คุณมีความมั่นใจในการตัดสินใจ

12. ฝึกฝนการคิดสะท้อน (Reflective Thinking) หรือการคิดหลายแง่มุม

13. หลีกเลี่ยงการพูดแง่ลบกับตนเอง จงคิดว่าคุณสามารถทำได้และคุณจะทำ

คนฉลาดจะไม่เห็นข้อจำกัดต่างๆแต่ในทางกลับกันเขาจะเห็นโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมา

14. มีความคิดสร้างสรร

อุทิศเวลาให้กับการค้นหาไอเดียใหม่ๆ อย่าไปกลัวความคลุมเครือและความล้มเหลวในเรื่องต่างๆ

15. อย่ามองโลกในแง่บวกไปเสียทุกเรื่อง

ต้องคิดให้สมเหตุสมผล และยอมรับความเป็นจริงคิดวิเคราะห์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ จำลองสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นได้และไม่ลืมที่จะวางแผนบนพื้นฐานของทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่

ทุนเรียนต่อเมืองนอก

E-Book แนะนำ รองรับโทรศัพท์มือถือ


กรอกข้อมูลเพื่อรับสิทธิพิเศษ